zz *Bow's Journey Under the RainBow*: March 2006

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Monday, March 27, 2006

หนึ่งสัปดาห์แห่งการพบปะผู้คน

หวัดดีจ้า..
ช่วงนี้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก
อีกไม่นานก็ต้องกลับไปญี่ปุ่นอีกแล้วดิ
คิดแล้วก็แอบเหงาอ่ะ พอกลับมาที่นี่มีเพื่อนเยอะแยะ
กลับไปก็คงต้องไปนั่งเล่นเน็ทอยู่ในห้องคนเดียวอีกแล้ว
เฮ้อ...เฮ้ออออออ

พูดแล้วออกแนวเศร้า...ไม่เอาดีก่า

เพื่อเป็นหลักฐานว่ากลับมาแล้วยุ่งกับการไปกินข้าวจริงๆ
โครงการจะลดน้ำหนักที่เมืองไทยก็ยังทำไม่ได้ แย่ๆๆๆ
เลยเอาภาพการไปกินข้าว 3 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์มาให้ทุกคนดูกัน

เริ่มกันเลยดีกว่า..
20 มีนาคม - ที่ Sizzler กับอิงและแห้ว เพื่อเลี้ยงเริ่มต้นชีวิตทำงานของอิง
และชีวิตใต้ร่มพระธรรมของแห้ว เหอๆๆ (ขอโทษทีพระแห้ว..ที่ไม่ได้ไปร่วมงานบวช)


23 มีนาคม - Triam Udom Student Committee Reunion
ที่ MK Suki ตอนแรกบอกว่านจะไป MK Gold ฮ่าๆๆ (กับแพน และพงษ์)


เจ และ สไปร์ท (สามารถติดตามผลงานเธอได้ตามโฆษณาในทีวีหลายชิ้น
ซึ่งเธอบอกว่ายังมีอีกหลายชิ้นที่พวกเมิงไม่รู้ว่าเป็นกรู เหออ)


หมอโน้ตและหมอเจบริเวณหน้าหม้อสุกี้...ควันขโมงงงง


25 มีนาคม - งานสังสรรค์เล็กๆของบ้านโจ๊ะเด๊ะรุ่น 10 และ 11
ที่ร้ายอาหารบ้านจำนงค์ เพื่อบอกลาชีวิตนิสิต (แต่เราก็ยังคงต้องเรียนต่อปายยย)
รูปนี้ถ่ายกะเฮียเบิร์ท


พี่กิ้นผู้ที่ทำให้มีงานวันนี้เกิดขึ้นและบอม บัณฑิตคนใหม่ของคณะบัญชี


พี่พล (เจ้าพ่อฟิตเนส ดู..แขนใหญ่กว่าเราอีก กร๊ากกกก)
และพี่อาร์ท ซึ่งถ้าถามว่าทำงานอะไรจะต้องตอบตำแหน่งยาวมากกกกกก


พี่มณ วันนี้สวยที่สุดในรุ่นแล้ว และโฉย บัณฑิตวิศวะที่ไม่รู้จำเอาไงต่อไป เหอๆ


ตบท้ายด้วยไปกินไอติมกันต่อที่ Iberry สาขา Siam Paragon จนห้างปิด เหอๆ

กว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อาทิตย์หน้าต้องกลับญี่ปุ่นแล้วววววววว
แงแงแงแงแงแงแงแงแง

กลับมาคราวหน้าก็ชวนๆกันไปกินกันอย่างงี้อีกนะ
สัญญาว่าจะผอมกลับมา แล้วจะกลับมากินให้ได้เยอะๆๆๆ

โอย...ทำไมระยะเวลา 1 เดือนมันช่างสั้นเช่นนี้~

Tuesday, March 21, 2006

Laos Trip! เวียงจันทน์ - วังเวียง - หลวงพระบาง

สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน
ขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทไดอารี่เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์

แต่หลังจากหายไปนานทำให้มีเรื่องมาเล่าเพียบเลย

ก็เพราะว่าพอดีตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เปิดสวิทซ์นักเดินทาง
มุ่งหน้าไปเที่ยวลาวดังที่ได้วางแผนไว้กว่าสองเดือน

อ่อ...มีรูปมาให้ดูเพียบเลยด้วย
นี่คัดเลือกรูปนานมากนะกว่าจะเหลือรูปเท่าที่จะได้ดูกันนี้
เพราะถ่ายรูปกันมาอย่างเต็มพิกัด

ไปกันสี่คน..จะมีบางรูปที่ถ่ายมุมเดียวกันเยอะมาก ฮ่าๆๆๆ

สมาชิกทริปนี้คือเรา พี่ใหม่ พี่น็อต และพี่ต้น

พร้อมจะออกเดินทางไปพร้อมกับเราหรือยัง
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย..เย้!

.......................................................

คืนวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม..
ออกเดินทางออกจากกรุงทพฯ มุ่งหน้าไปยังหนองคาย
ด้วยรถไฟสปินเตอร์ เดินทางออกจากหัวลำโพงเวลาสามทุ่มตรง


.......................................................................

ถึงจังหวัดหนองคายเมื่อเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันที่ 13 มีนาคม


หลังจากนั้นก็ไม่รอช้ารีบขึ้นตุ๊กๆต่อเพื่อจะไปให้ทันรถ international bus
เพื่อข้ามฟากไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งจะออกรถเมื่อเวลาประมาณ 8 โมง

เมื่อจองตั๋วรถเสร็จแล้ว กินข้าวเช้าเสร็จสรรพ ก็ขึ้นรถข้ามสะพานมิตรภาพ
ซึ่งพาดผ่านแม่น้ำโขงไปยังเวียงจันทน์ทันที


พอไปถึงเวียงจันทน์ก็ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
และ...เรื่องสำคัญที่สุดคือการแลกเปลี่ยนเงินตราจ้า

ซึ่ง..ตอนหลังก็แอบงงๆว่าจะแลกทำไม
เพราะเวลาไปซื้อของทีไร เค้าจะคิดเป็นเงินบาทก่อนที่จะบอกเป็นเงินกีบทุกครั้ง
เหอๆๆๆ...แอบงง คือไม่ต้องแลกก็ได้อ่ะ จ่ายเป็นเงินบาทไปก็ได้
แต่ก็อย่างว่า..บางทีจ่ายเป็นเงินกีบมันจะถูกกว่านิดๆหน่อยๆ

อ่อ..แล้วทุกคนในทริปนี้ก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสเงินล้านเป็นครั้งแรกในชีวิต อิอิ
เพราะราคาเงินกีบต่อเงินบาทคือ 1 บาท = 265 กีบ

โดยเฉพาะหนุ่มคนนี้..ท่าทางดีใจกับการได้สัมผัสเงินล้านมาก


พอถึงเวียงจันทน์ได้ไม่นาน...
ก็ต้องนั่งรถต่อไปยังวังเวียงทันที เพื่อจะให้ถึงวังเวียงในตอนบ่ายๆของวันนั้น

นั่งรถมินิบัสแอกี่ สั่นๆโคลงๆไปประมาณสามชั่วโมง
แล้วก็ถึงวังเวียงโดยสวัสดิภาพ

ขนของสัมภาระไปยังที่พักริมน้ำ บรรยากาศดีมาก
แต่ห้องพักพวกเราไม่ได้อยู่ริมน้ำนะ คือเอาราคาถูก แล้วเน้นเดินไปริมน้ำเอง ฮ่าๆๆ

เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ออกเที่ยวเลย..
เหมาสองแถวไปเที่ยวยัง "ถ้ำจัง"

ในอดีตในถ้ำไม่มีไฟฟ้า เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำศักดิ์สิทธิ์
หากใครไปทำอะไรไม่ดีในถ้ำจะเกิดอาการจังงัง มือเท้าหงิกงอเหมือนเป็นง่อย
แต่ภาษาลาวเรียกว่าอาการจัง ชาวบ้านจึงเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำจัง

ก่อนจะเจอถ้ำเราจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำซองสีส้มสดใส
ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำซองได้จากมุมนี้


หลังจากเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซองมาแล้ว
เราต้องปีนบันไดขึ้นไปอีก 147 ขั้นกว่าจะเจอถ้ำ
ตอนนั้นมีแอบหอบแฮ่กๆเหมือนกัน เหอๆๆ

แต่พอไปถึงถ้ำแล้วก็หายเหนื่อย
ไม่ใช่เพราะว่ามันสวยอะไรมากมายหรอกนะ
แต่อากาศมันเย็น ฮ่าๆๆๆๆ


เสร็จจากถ้ำจัง ก็เย็นมากแล้ว
ก็เลยนั่งรถสองแถวคันเดิมเข้าไปยังตัวเมืองวังเวียง
เพื่อไปจองโปรแกรมทัวร์ พายเรือคายัคเที่ยวเมืองในวันพรุ่งนี้

ตบท้ายด้วยอาหารลาวสุดแซ่บในร้านที่ออกจากดูตกแต่งไว้เพื่อนต้อนรับชาวต่างชาติ
(คือ..จะหาร้านที่ไม่มีภาษาอังกฤษเลยไม่ได้เลยนะ
เพราะเดินไปทางไหนก็เจอแต่ฝรั่งเดินเต็มเมืองไปหมด ยังกะพัทยา..)
อ่อ..แล้วอะไรรู้ป่ะ
เรานั่งดู the Simpsons ไปไม่รู้กี่ตอนระหว่างที่นั่งจกข้าวเหนียวอยู่

โคตรได้บรรยากาศลาวเลย ฮ่าๆๆๆ

..................................................

เช้าวันอังคารที่ 14 มีนาคม..
ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปออกกำลังกายในคราวนี้

ออกจากที่พักเวลา 9 โมงเช้า
แล้วก็ไปเที่ยวถ้ำกันก่อน ชื่อว่า "ถ้ำช้าง"
โดยรถสองแถว โดยมีผู้ร่วมทางชาวอเมริกัน 1 คน และเยอรมันอีก 2 คน


ภายในภ้ำช้างเป็นที่ตั้งของพระธาตุที่สร้างขึ้นในปี 2511
และหินธรรมชาติที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายช้างตั้งเดินอยู่ด้านขวาของถ้ำ
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำและหมู่บ้านในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นก็เตรียมตัวเปียกกันได้เลย
เพราะเราจะเดินทางไปยัง "ถ้ำน้ำ"

ถ้ำน้ำเป้นถ้ำที่ต้องใช้ห่วงยางและเกาะเชือกกล่องเข้าไป
โดยมีไฟฉายที่ติดบนหัวอยู่เป็นแสงส่องนำทาง
ภายในเป็นอุโมงค์สูงๆเหมือนถ้ำอื่นๆ

แต่จะบอกว่ามันไม่ได้เกาะเชือกเข้าไปอย่างเดียวอ่ะดิ
มันมีมุมนึงที่เชือกมันหมด ทำให้ต้องตะกุยน้ำเข้าไปเอง

แล้ว..ขจีภรณ์จะรอดเหรอ ฮ่าๆๆๆ
ตรงจุดนี้สงสัยพี่คนที่เป็นไกด์เค้าจะสงสาร (หรือสมเพชไม่รู)
เข้าเลยเอาเท้าเค้ามาคีบเท้าเรา แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทำไรเลย
ลอยตุ๊บป่องๆไปเรื่อย เหอๆๆๆ สบายจริง

หลังจากเปียกกันที่ถ้ำน้ำแล้ว
ชาวทริปก็เดินไปกินข้าวที่ทัวร์เตรียมไว้...

ซึ่ง...
เห่ยมาก ไม่อร่อยเลย
แต่อาศัยว่าวันนั้นที่หมู่บ้านถ้ำช้างเค้ามีงานบุญพอดี
เลยไปขอข้าวปุ้น (ขนมจีน) ชาวบ้านมาปะทังความรู้สึกดีๆของอาหารลาวได้ต่อไป หุหุ

หลังจากกินข้าวเสร็จก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายกัน..
อย่างที่บอกว่าวันนี้จะมีพายเรือคายัคเทียวแม่น้ำซองกัน

ตอนนั้นพี่ต้นถามว่าใครจะคู่ใคร..เพราะเรือมันเป็นคู่
เราก็บอกว่า...ขอคู่คนที่แรงเยอะๆ

ความซวยจึงตกมาอยู่กะพี่น็อตทันที ฮ่าๆๆๆ
หลังจากนั้นพี่น็อตก็บอกว่า ไปพายเรือกะใครทีไร อีกคนนึงจะต้องนั่งเป็นคุณนายทุกที
ซึ่งคราวนี้ก็ไม่วายจะเป็นอย่างนั้น.... ฮ่าๆๆๆ

แต่ขอบอกว่าเราไม่ได้กินแรงเลยนะ
เราพายตลอดดดดดดด ตลอดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แต่ไม่รู้เป็นตัวถ่วงเพราะพายผิดหรือเปล่า เหอๆๆๆ


ระหว่างพายๆเรือไปก็มีจุดพักผ่อนด้วย
แต่ก็ไม่วายเป็นที่ตอนรับชาวต่างชาติเช่นเคย
มีแต่ฝรั่ง เปิดเพลงฝรั่ง และกินเบียร์

หนุ่มฝรั่งก็ถอดเสื้อตีวอลเล่ย์ เตะตะกร้อกันไป
สาวฝรั่งก็มือถือเบียร์ แล้วก็เต้นตามเพลงกันไป

โคตรรรรร....ฝรั่ง
นี่มันประเทศอะไรกันเนี่ยยยยยยย!!! จอร์จจจจจ!!!!

หลังจากนั้นก็พายเรือกันต่อ...
และก็กลับถึงฝั่งเวลา 5 โมงเย็น

อาบน้ำอาบท่า หาอาหารลาวกิน แล้วก็กลับไปนอนสลบที่ที่พัก

...................................................................

วันพุธที่ 15 มีนาคม....
วันนี้ต้องออกเดินทางไปยังหลวงพระบางแต่เช้า

ทานเช้าข้าวที่ที่พัก บอกลาลุงป้าที่พูดไทยเป็นไฟ อังกฤษเป็นไฟ และฝรั่งเศสเป็นไฟ
แล้วก็ออกจากที่พักเวลา 9 โมงเช้าด้วยรถตู้

ระหว่างทางที่เดินทางไปหลวงพระบางนั้น...
ใครที่เมารถง่ายๆขอแนะนำว่าอย่าไปเลยยยยย
เพราะขนาดเราว่าเราเป็นคนไม่เคยเมารถมาก่อนเลยในชีวิตนี้
ยังเมาแทบตายยยยย

การเดินทางไปหลวงประบางจางวังเวียงใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมง
บนเส้นทางที่เป็นหุบเขา และมีโค้งทั้งสิ้นแปดร้อยเจ็ดสิบหกโค้งได้ (อันนี้มั่วเอานะ เหอๆๆ)
เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการพยายามหลับไปตลอดทาง

อ่อ...และได้มีประสบการณ์เข้าห้องน้ำธรรมชาติกลางป่าเขาก็ครั้งนี้แหละ เหอๆๆ

ถึงหลวงพระบางตอนบ่ายแก่ๆแล้ว
ชาวทริปก็พากันแบกเป้เพื่อเดินทางหาที่พัก
เนื่องจากจองไว้ แต่ว่ามันไกลมากกกก เลยกะหาเอาใหม่เลยดาบหน้า
ซึ่งมันก็ทำได้แหละ เพราะทั้งเมืองมันมีแต่ guest house เต็มไปหมดเลย
แต่ราคาก็แตกต่างกันไป ที่สวยๆหน่อยก็แพงหน่อย
เจอที่นึงสวยมาก $50 !!!! เลยจบท้ายที่บ้านพักราคา $9 เหอๆ ช่างต่างกัน

หลังจากได้ที่พักแล้วก็เดินกันต่อเลย
โดยสถานที่แรกที่จะไปในหลวงพระบางนี้ก็คือ "ภูษี" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "พระธาตุจอมษี"

นอกจากภูษีจะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองหลวงพระบางแล้ว
ด้านบนยังเป้ฯที่ตั้งของพระธาตุจอมษี พระธาตุองค์เล็กๆแต่โดดเด่นด้วยประกายสีทอง
ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมปิดทองทั้งองค์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
ยอกประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูง 21 เมตร


และเราก็อยู่พระอาทิตย์ตกเย็นวันนั้นที่บนภูษีนี่แหละ
...รวมถึงมีเพื่อนร่วมดูพระอาทิตย์ตกที่นี่เป็นชาวต่างชาติอีกหลายสิบคน -_-"


หลังจากชมพระอาทิตย์ตกกันแล้ว
เดินลงมาข้างล่างภูก็จะพบกับ "ตลาดมืด"
เอ่อ..ไม่ใช่ตลาดขายของผิดกฎหมายนะ
(ตอนแรกเราก็คิดยังงั้นแหละ เหอๆๆๆ)

แต่ว่ามันคือตลาดที่ชาวบ้านจะเอาของพื้นมือมาตั้งขายกัน
เหมือน walking street ที่สีลมเมื่อหลายปีที่แล้ว
จะว่าไป..ก็อยากให้มี walking street แบบนั้นอีกเน๊อะ

ก็ได้ของติดไม้ติดมือกันไปคนละนิดละหน่อย
สินค้าที่เอามาขายส่วนมากมันก็ซ้ำๆกันน่ะ เช่น ผ้าไหมลาว เสื้อตัวอักษรลาว
เครื่องเงิน ของเก่าต่างๆ ของจากชาวเขา ฯลฯ

ซึงอย่างที่บอกร้านประมาณ 100 ร้าน แต่มีของขายประมาณ 10 อย่าง
ทำให้บางที่แอบเจ็บใจที่ซื้อของมาแพงกว่าร้านที่ไปถามราคาในตอนหลัง

ตอนนี้เองทีได้รู้จักกับน้องคนลาวชื่อ "น้องขาว" โดยบังเอิญ
โดยน้องขาวอาสาว่าวันพรุ่งนี้จะซื้อข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตรตอนเช้ามาให้
และยังจะพาเที่ยวเมื่อเลิกเรียนในเวลาเที่ยงพรุ่งนี้อีกด้วย

...............................................................

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคมเวลาเช้าตรู่...
ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อมารอพระ..

เคยอาจจะได้ยินกันมาบ้างแล้ว
ว่าที่หลวงพระบางนี้มีประเพณีใส่บาตรที่มี่ชื่อเสียงมาก
เนื่องจากจะมีพระกว่า 200 รูปเดินแถวมาให้ใส่บาตร
และของที่นำมาใส่บาตรกันก็คือข้าวเหนียวนั่นเอง

ซึ่งชาวทริปก็ต้องคั้งสมาธิอยู่กับการจกข้าวเหนียวมากๆ
ว่าได้ว่าต้องกำหนดลมหายใจอยู่ที่การปั่นข้าวเหนียวและการใส่ข้าวเหนียวในบาตรพระเลยทีเดียว
เพราะท่านย่างไวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

พอใส่หมดแล้วก็เมื่อยแขนทันที...
อ่อ.. วันนี้มีพระมามากเป็นพิเศษนะ เพราะว่าเมื่อวานนี้กษัตริย์เขมรเสด็จมาที่หลวงพระบางพอดี
เราก็ทันได้เห็นขบวนรถท่านด้วยนะ ไม่ทันได้เห็นท่าน แต่มีคนบอกว่าท่านหล่อมากกกกก
เป็นนักบัลเลต์ด้วย เรียนจบจากฝรั่งเศสอีกตะหาก

พอๆๆๆๆ เข้าเรื่องต่อ...

หลังจากใส่บาตรเสร็จก็ไปเช่าจักรยานกัน...
แล้วก็บังเอิญได้เจอที่พักใหม่ ที่ราคาเท่ากัน แต่สะอาดกว่ามาก
เลยขนของสัมพาระย้ายออกมาจากที่เก่า ย้ายเข้าที่ใหม่ทันที

สถานที่แรกที่จะปั่นกันไปวันนี้คือ "วัดเชียงทอง"

วัดเชียงทองสร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี 2102-2103
หลังจากสร้างวัดนี้ได้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์
แต่วัดนี้ยังได้รับการอุปถัมป์ดูแลจากเจ้าชีวิตสว่างวงศ์และเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาวก่อนการปฎิวัตินั่นเอง

ที่เห็นอยู่นี่คือพระอุโบสถ หรือที่ภาษาลาวเรียกว่า "สิม"
แม้จะดูไม่ใหญ่โตนักแต่แสดงถึงศิลปะทางศาสนาแบบหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี
ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ส่วนกลางของหลังคามีช่อฟ้าสีทอง
ประกอบกันทั้งหมด 17 ช่อ อันหมายความว่าเป็นสิมที่มหากษัตริย์สร้างขึ้น
เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า
ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี "โหง่" รูปร่างคล้ายเศียรนาค
เป็นส่วนประดับทางคติธรรมทางพุทธศาสนา

ต่อมา...เราก็ถีบจักรยานไปตามถนนย่านเมืองเก่าของหลวงพระบาง
ตามถนนจะเห็นสถาปัตยกรรมบ้านเมืองซึ่งมีรูปแบบผสมผสานศิลปะแบบลาว
และแบบฝรั่งเศสซึ่งได้รับอืทธิพลมาจากยุคอาณานิคมนั่นเอง

และเราก็ได้ไปเที่ยววักอีกร่วมสิบวัดได้...
จนตอนหลังๆก็เริ่มเบื่อวัด จนต้องเข้าวัดเว้นวัดแทน เหอๆๆ
อ่อ..ลืมบอกไป ที่หลวงพระบางนี้มีวัดทั้งหมดร่วม 40 วัด
ทำให้ปั่นจักรยานไปทางไหนก็ต้องเจอวันติดๆๆๆกันไปหมด

เวลาเที่ยงวันน้องขาวก็มา...
เราก็เลยถีบจักรยานไปเที่ยวกันต่อ...
เริ่มจากกินข้าวเที่ยง และถีบจักรยานต่อไปยัง "บ้านผานม"
ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวบ้านที่ทอผ้าไหมกันทั้งหมู่บ้านเลย

ทางไปบ้านผ้านม..ไม่รู้ทำไม ทางถนนใหญ่ๆยังถีบสบายๆอยู่เลย
ทำไมเงินทุนทำถนนมันมาไม่ถึงที่นี่วะ...
คือเป็นลูกรัง ขึ้นเนินลงเนิน และฝุ่นคลุ้งตลอดเวลา

ให้นึกถึงความรู้สึกการอยู่บานเครื่องสลายไขมันนะ
สั่นๆๆๆๆๆๆๆๆ ตลอดเวลา สองจะไหลออกมาทางปากอยู่แล้ว

จนในที่สุด....
โครม~!!!!!!
ล้มจนได้...
แต่ยังยิ้มสู้ ถึงแม้จะมีฝรั่งที่ผ่านมาแถวนั้นทำหน้าตกใจอย่างแรง เหอๆๆ

แล้วก็มาถึงบ้านผานม แต่เราแอบผิดหวังนะถีบกันมาตั้งหลายกิโลฯ
แต่ก็เจอผ้าไหมที่หาซื้อได้ที่ตลาดมืด หนอน ใบหม่อน เท่านั้น...
แต่ก็ยังดีที่มีการสาธิตการทอผ้าด้วย...
ซึ่งทำให้หลายๆคนรู้สึกผิดที่ไปต่อราคาเค้าแทบตายตอนซื้อผ้าเมื่อคืนนี้ เหอๆๆ

หลังจากออกจากบ้านผานมก็ไปวัดอีกหนึ่งวัด
และก็ถีบกลับเข้าเมืองมายัง "วัดวิชุลราช"

วัดวิชุลฯเป็นที่ตั้งขจองพระธาตุหมากโมซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง
ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ ที่มาของชื่อพระธาตุหมากโมมาจากการที่ชาวหลวงพระบาง
เห็นรูปทรงของเจดีย์คล้ายรูปแตงโมผ่าครึ่ง ยอกพระธาตุมีลักษณะคล้ายเปลวไฟ
บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงดอกบัวตูมทั้งสี่มุม


หลังจากออกจากวัดวิชุลฯแล้ว ก็ขอเวลานอกกลับไปทำแผลที่ได้จาก
ขักรยานล้มที่ที่พักสักแป๊บ แล้วก็ปั่นจักรยานกันต่อไปยังสถานที่ที่น้องขาวแนะนำ
และเป็นที่ที่เมื่อไปถึงแล้วพี่น็อตเรียกว่า Unseen in Luanprabang เลย

หลังจากปั่นจักรยานไปประมาณครึ่งชัวโมง
เราก็มาพบกับ...ไร่แตงโม!!! ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงนี่เอง

นอกจากเราจะได้กินแตงโมสดๆ (ร้อนๆ) จากไร่แล้ว
เรายังได้ดูสถานที่ที่เรียกว่าทะเลเมืองลาวอีกด้วย

หลายๆคนที่เรียนภูมิศาสตร์มาคงรู้ใช่ไหมว่าลาวไม่มีทางออกทะเล
เพราะฉะนั้นที่ๆเราจะพาไปไม่ใช่ทะเลแน่นอน แต่เป็นชายหาดริมน้ำโขง

ที่บอกว่า Unseen นี่ก็เพราะว่าเป็นที่ที่แรกที่ชาวทริปไป
แล้วไม่เจอฝรั่งเลยสักคน...อิอิ


หลังจากนั้นเราก็จบวันนี่ก้อยตลาดมืดอีกเช่นเคย...

.....................................................................

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม...
ตื่นเช้ามาใส่บาตรอีกเช่นเคย
แต่วันนี้ตื่นสายกว่าเดิมหน่อยทำให้เกือบไปใส่ไม่ทัน
และทำให้ข้าวเหนียวเหลือเพียบ...กินกันเอง ฮ่าๆๆ

เดินทางไปยังตลาดเช้า
ซึ่งก็คือตลาดสดนั่นแหละ..
แต่ที่แตกต่างจากตลาดสดในกรุงเทพฯ คือ..
มีสัตว์ป่าสดมาขายมากมาย เช่น กระรอก และนกฮูก...น่าสงสารมาก

แล้วเราก็มีโอกาสได้ลิ้มรส...โอวัลตินซึ่งมีส่วนผสมเกือบ 40% เป็นนมข้นหวาน
จากร้านชื่อดังที่ไปเจอโดยบังเอิญ คือร้านประชานิยม

ดูนมข้นสิ...
มิน่าล่ะ ชั้นถึงอ้วนกลับมา~ กว๊ากกกก~!

จบท้ายทริปที่หลวงประบางด้วย "พระราชวังหลวงพระบาง"
ซึ่งภายในยังเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง" อีกด้วย

พระราชวังหลวงพระบางออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส
เป็นหมู่อาคารชั้นเดียวตั้งอยู่บนพื้นยกสูง หลังคามุงกระเบื้อง
เป็นการผสมผสานระหว่างความงามของตัวอาคารแบบฝรั่งเศส
กับศิลปะแบบล้านช้างในตัวพระราชวังได้อย่างลงตัว
ด้านนอกอาคารเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์
ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ

เจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์ประทับอยู่ที่พระราชวังหลวงพระบางจวบจนสิ้นพระชนม์
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2518
พระราชวังหลวงพระบางได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์
ซึ่งภายในเราจะได้เห็นห้องต่างๆ เช่น น้องปรรทม ห้องฟังธรรม ห้องรับแขก
ท้องพระโรง ฯลฯ รวมถึงของกำนัลที่ชาติต่างๆนำมาถวายให้เจ้าชีวิตอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุกคือหอพระบาง ที่เป้ฯที่ประดิษฐานของพระคู่บ้านคู่เมืองของ
เมืองหลวงพระบาง นั่นคือ พระบาง ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมสมัยหลังบายน
อยู่ในท่าประทับยืนบางประทานอภัยทั้งสองพระหัตถ์ หรือปางห้ามสุมทร
หล่อขึ้นด้วยทองคำบรสุทธิ์เกือบทั้งองค์ มีน้ำหนัก 54 กิโลกรัมนั่นเอง


เมื่อเราชมพิพิธภัณฑ์แล้ว...ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลาหลวงพระบางกันซะที
เราจ้างรถสองแถวออกจากที่พัก เพื่อมุ่งหน้าไปที่สนามบินหลวงพระบาง
นั่งเครื่องบินสายการบินลาว ไปลงที่เวียงจันทน์

ถึงเวียงจันทน์ตอนบ่ายแก่ๆ เราก็ต้องรีบๆ เที่ยวชมสถานที่สำคัญสองที่ในเวียงจันทน์
เพราะว่ากลัวว่าจะไม่ทันรถ international bus รอบห้าโมงเย็น

และสองที่นั้นคือ..

"ประตูชัย" (ที่รูปออกเป็นสีฟ้าๆ เพราะถ่ายออกมาจากแท็กซี่น่ะนะ..ฟิล์มน่ะที่สีฟ้า)
ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2512 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงประชาชนชาวลาว
ผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์

และ...

"พระธาตุหลวง" ซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เป็นเจดีย์ที่โดดเด่นที่สุด
ในอาณาจักรล้านช้างมาตั้งแต่ในสัมยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า
พระธาตุหลวงแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษญานของพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

....รีบๆๆๆ ออกมาจากพระธาตุหลวง ก็พบกับความผิดหวัง
เนื่องจากรถบัสที่จะวิ่งตรงจากเวียงจันทน์ไปอุดรฯนั้นเต็มเสียแล้ว

ชาวทริปจึงต้องเดินทางหลายต่อ เริ่มจาก...
รถเมล์หวานเย็นไปลงที่ชายแดน
จากชายแดนไปหนองคายด้วยรถเก๋งรับจ้าง
จากหนองคายไปอุดรฯด้วยรถทัวร์

ซึ่งได้เจอกับพี่สาวคนหนึ่งที่ป้ายรถบัส คุยๆกันเล็กน้อย
ตอนอยู่ในรถบัสก็มีคนยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เรา
พร้อมกับบอกว่า...มีโทรศัพท์มาหา

งงสิคะ...
มันจะมีโทรศัพท์มาหาเราในโทรศัพท์คนอื่นได้ไงหว่า
ใครมันจะไปรู้ว่าเราอยู่บนรถทัวร์คันนี้ งงๆ

สรุปว่า...คือพี่สาวคนนั้นที่เจอที่ป้ายรถบัสนั่นเอง
พี่เค้าลืมโทรศัพท์ไว้บนรถ...เลยนัดเจอกันที่อุดรฯ

เมื่อพี่เค้ามาถึงเค้าก็ขอบอกขอบใจพวกเราเป็นการใหญ่
แถมยังเสนอที่พักด้วยเมื่อจะกลับมาหนองคายอีกครั้ง

ฮ่าๆ...ดวงดีจริงจัง

หลังจากนั้น..ชาวทริปก็เดินทางกันต่อ
รถตู้ไปสถานบินอุดรฯ
แล้วก็ขึ้นเครื่องบิน air asia กลับมา ถึงกทม.เวลาห้าทุ่มกว่า

(มีแอร์ไว้ทำไมไม่รู้สายการบินนี้..ตอนลงจากเครื่องไม่มีขอบคุณ ไม่มีไหว้
ไม่มีอะไรเลย...อ๋อ หรือว่าเอาไว้เป็นแค่พนักงานขายโค้กกระป๋องละ 50 บาทเท่านั้นหว่า)

........................................................................

จบแล้วค่ะทริปลาวครั้งนี้
เจอเรื่องตลก ประหลาด ดวงดี ดวงซวย เจ็บตัวหลายครั้ง

แต่ก็คุ้มค่ะ...กับเงินไม่ถึง 8,000 บาทที่เสียไป
กับวันห้าวันที่คุ้มค่าที่ สปป.ลาว

สุดท้าย...
ขอบคุณพี่ใหม่ พี่น็อต พี่ต้น เพื่อนร่วมทางที่แสนวิเศษค่า

สะบายดี
พบกันใหม่โอกาสหน้าเด้อ~

ปล. อยากรู้ว่าเรากินอะไรไปบ้างตลอดทริปนี้ เชิญเข้าชมได้ที่กระทู้นี้นะ
แล้วจะรู้ว่าทำไมเราถึงอ้วนกลับมา ฮ่าๆๆๆ
http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J4213746/J4213746.html

Saturday, March 11, 2006

สิงห์ดำ 55...จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป

หลังจากอัพเดทเป็นภาษาอังกฤษมา 1 ครั้ง..
รู้สึกว่าเรตติ้งจะตกไปนะ
เหอะๆๆๆๆ

ท่าทางว่าเขียนเป็นภาษาอังกฤษมันจะไม่ได้อารมณ์เท่าภาษาไทย
เลยคิดแล้วคิดอีกอยู่สองสามวัน
ว่าจะกลับไปอัพเป็นภาษาไทยดีกว่า อิอิ
คนอ่านภาษาไทยไม่ออกให้มันดูรูปเอาละกัน

อ่อ...
ขอโทษทีหายไปหลายวันเลย
เพราะว่าพอกลับมาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ

ไปอยู่ที่คณะทุกวัน..
โดยมีกิจกรรมหลักคือยุทธการณ์ตามล่าหาอาจารย์!!!

ทำไมอ่ะเหรอ..
พอดีว่าอยากได้จดหมาย remcommend จากอาจารย์น่ะ
แล้วบางวันอาจารย์ก็ไม่เข้ามาคณะเล๊ยยยย
เลยไปนั่งเล่นเน็ททั้งวัน หุหุ

....................................................................

เข้าเรื่องๆ...
เมื่อวานนี้ เป็นวันถ่ายรูปหมู่ของสิงห์ดำ 55

ไปถึงแต่เช้า...ทั้งๆที่นัดตอนเที่ยง
ไม่ใช่อะไร ไปทำผมน่ะ ฮ่าๆๆๆ
ตอนแรกไปทำมาเหมือนจะไปออกงานกลางคืน
พอตอนหลังเริ่มออกมาดี ก็ยังดี

ไม่งั้นหัวต้องเป็นคุณนายอยู่ในรูปรวมรุ่น
เหวออออออออออออออออ...
ทุกคนคงจำเราในภาพนั้น ฮ่าๆๆ

ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่สามารถลดน้ำหนักให้กลับเข้าสู่สภาพเดิมได้
จึงทำให้การเจอเพื่อนทั้งคณะในวันนั้น..
จะได้รับคำถามเดียวๆกัน คือ..

"อาหารที่ญี่ปุ่นอร่อยมากเหรอโบว์..."

อืม...
ขอบใจนะ

เอาหน่าๆ...ไม่โกรธ
ไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่โกรธ (สะกดจิตตัวเอง)

พอไปถึงคณะตอนเที่ยง
ก็เริ่มจากการถ่ายรูปเดี่ยวก่อน

เรากับกิ๊ฟท์เดินเข้าไปในห้อง 107 ตึก 1
ตกใจ!!!!!!!
นึกว่าเอาสตูดิโอถ่ายภาพมา

ฮ่าๆๆๆ...มันเวอร์มากๆเลยจอร์จ

ดูดิ..ฉากสีดำ ไฟส่องหน้า
ตอนถ่ายบอกเค้าแล้วนะว่าเอาหน้าผอมๆ
เค้าจะช่วยเราได้ไหม ฮ่าๆๆ

หลังจากถ่ายรูปเดี่ยวเสร็จสรรพ
ก็มีการทำโพลของรุ่น
แล้วมันเยอะมากอ่ะ...
ยกตัวอย่าง หน้าแก่สุด ดำสุด ซกมกสุด ขี้หลีสุด แห้วบ่อยสุด ฯลฯ
คนที่ได้ตำแหน่งไปจะดีใจไหมเนี่ย

ส่วนคนที่ได้คะแนนโหวตจากเราในตำแหน่งนั้นๆไป
ก็ขอโทษด้วยนะเพื่อน ฮ่าๆๆๆ


แล้วก็ไปสั่งรูป...
ว่ารูปที่ถ่ายวันนี้จะอักเป็นแบบไหน
อันซ้ายสุดคือกรอบหลุยส์สุดหรู
เหวออออ น่ากลัวมากอ่ะ

เราสั่งแบบตรงกลาง คิดว่าดูดีสุดน่ะนะ
เป็นทั้งรูปรุ่นและรูปภาค

แต่ตอนนี้เป็นหนี้เค้าอยู่ เพราะเอาตังค์ไปไม่พอ
หุหุ..ขอโทษทีนะ ไว้ผลิตเงินได้จะเอาไปจ่าย


อ่อ...นอกจากเพื่อนสิงห์ดำ 55 ที่มาพบหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
(ถึงแม้บางคนจะไม่เคยเห็นหน้าเลย...) แล้ว

นาโฮโกะยังมาด้วยนะ..
วันนี้พาน้องสาวมาด้วย
ตอนแรกมีคนบอกว่าให้เข้าไปถ่ายด้วยกัน
แต่ว่าเจ้าตัวเค้าไม่เข้าน่ะ


เอาล่ะ...
ได้เวลาร้อนกันแล้วเพื่อนๆ

รวมตัวกันเวลาบ่ายโมงกว่า
พระอาทิตย์เลยหัวมานิดหน่อย
แถววันนี้ไม่รู้เป็นอะไร อากาศร้อนเป็นพิเศษ

ต่างคนนอกจากจะแต่งหน้าทำผมกันมาอย่างเต็มที่แล้ว
ยังพอกครีมกันแดดมาหนาเตอะ..
พร้อมสู้แดดกันอย่างเต็มที่


คือถ้าเอาร่มมากางตอนถ่ายได้คงจะพกกันมาคนละคันแล้วล่ะ

งานนี้มีคนมาไม่ทันวิ่งมาเติมเยอะมากกกกก
ที่ฮาที่สุดต้องยกให้แพนนะ..
นอกจากจะมาช้าแล้ว
ยังไม่ได้ใส่ชุดนิสิตมาอีก ฮ่าๆๆๆๆ

ในรูปนี้แพนต้องเด่นมากแน่ๆ
อยู่บนสุด ตรงกลางสุด แถมใส่เสื้อสีน้ำเงินอีก

แต่ก็ถือว่าโชคดีนะเนี่ย อิอิ

ต่อจากถ่ายรูปรวมรุ่นแล้ว..
ยังมีถ่ายรูปแยกเป็นภาคอีก

ภาคไออาร์รับไปภาคแรก..
โอย..ร้อนยังไม่ทันหยุดพักหายใจเลย
ต้องออกไปเผชิญแดดอีกหนึ่งครั้ง


ปิดท้ายด้วยพิธีคารวะอาจารย์ในห้องมาลัยหุวะนันท์


คิดแล้วใจหายนะ...
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอเพื่อนๆพร้อมหน้ากัน

เสียดาย...ที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตเทอมสุดท้ายร่วมกัน
เสียดาย...ที่ไม่ได้ได้จบพร้อมกัน
เสียดาย...ที่ปีหน้ากลับมา คงไม่ได้เจอเพื่อนๆอีก ไม่ได้เรียนด้วยกันอีก

แต่ก็อยากจะขอบคุณ...
ขอบคุณ...เพื่อนๆสิงห์ดำ 55 ทุกๆคน ตลอดช่วงเวลาสามปีครึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ
ขอบคุณ...กร ขอบคุณที่อยู่ข้างๆเราเสมอ
ขอบคุณ...บี เม สำหรับมิตรภาพที่ดีตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่
ขอบคุณ...กิ๊ฟท์ ออนซ์ สำหรับคำปรึกษา ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว ขอบคุณที่เป็นเพื่อนกันเสมอ
ขอบคุณ...เพื่อนๆภาค IR ทุกคน ระยะเวลาที่เราเรียนด้วยกันมามีเรื่องต่างๆที่อยู่ในความทรงจำของเราเสมอมา

ขอบคุณทุกคน...
ขอบคุณจริงๆ

แล้วเราจะได้พบกันใหม่...

Monday, March 06, 2006

My busy week after arrived in Bangkok!

As I told you guys last time that I'll start updating my diary in English
coz I think it's better for everyone to understand,
even I think it can't express my feeling as good as writing in Thai.

..........(คอยดูกันละกัน ว่าจะเขียนภาษาอังกฤษไปได้สักกี่น้ำ กร๊ากๆๆๆๆ)

Sorry for not update my story for almost a week
but because since I came back home I was quite busy
meeting people...and also eating!

I'm still worrying that can I finally lose weight that I gained from Japan
here if people still ask me to go eat!!!

Anyway...I'm not complaining about it coz I'm also really wanna meet you guys.
And how can Thai people don't go eat if we wannna meet and chat, right!?

......................................................................

Oh well, now I'm in Bangkok!
Finally be home after spending 5 months in Japan!!!

After I first got off from plane,
The first thing I felt is the weather difference between Bangkok and Osaka!!!

It was very hot...(also many Japanese people who got off from the same plane as me complaint about it)

Hey!! at least after 5 months in Japan, I know that they were complaining!!
Yipppeeee!!!

After that day I arrived,
I spend all of my time out!

.........................................

On Friday, I went out to see my friends at my faculty
......all of them said that I look so fat!
Well, as what they said was the truth, I wasn't angry...

I wasn't...hey! I really wasn't angry, okay!!!???

I also went to Siam Paragon!!!
I was so amzaed that the place is much bigger than I thought!
I met N'Aoy at Kinokuniya and she suggested me some Japanese book.

Thanks N'Aoy...I wish you can pass the interview and
then you can stay with me in Osaka for half a year!

That night I met P'Mai, P'Nha+ and her husband and also P' P' who
used to live in Kyoto...
We went for dinner and Karaoke!!

It was pity that I couldn't stay with them until the end
but it was very fun ka!!
........................................

On Saturday,
I went out to Coca Suki at Siam Square
for @Japan meeting in Bangkok

It was my first time meeting people who we met on the internet..
Well, I've never met them before, at first I was a little bit nervous..

But after talking to them while eating suki yaki...it was very fun!
Some of them have already come back from Japan and some of them are people
who are going to be in Japan soon..

(I'm the only one who was in between hahahahaaaa)

Well, thanks na ka everyone...
It was very warm party (as we were sitting in front of suki yaki pot!! hahaha)
Hope to see you again either in Thailand or in Japan.

..............................................................

On Sunday,
I went out with my family to see my grand parents.
We went out to have Chinese food lunch!

(Well, I can't stand eating anymore...I went out to eat everyday. Gosh!!)

............................................................

Today, I'm at University's central library...
At frist I didn't wanna go out but since my computer's adapter
was exploded (!!!) yesterday, I didn't know what to do without my it..

I have to go out again!!!

But luckily...I had a chance to go to fitness this morning...
At least I didn't go out for eat today!!

Hey!!! I did exercise!!! really!!
.
.
.
.
.
PS. Thai comment is okay na ja... The reason that I wrote my diary in English is so that everybody can read it ^^

Wednesday, March 01, 2006

4 วันใน Tokyo...หลงแสงสีเข้าเสียแล้ว

ความจริงแล้วขี้เกียจมาอัพเดทเรื่องมากวันนี้
ขอบ่นก่อนเล่าเรื่องละกันนะ

ยุ่งๆตั้งแต่เช้าเลย
มาถึงโอซาก้าตั้งแต่เช้าตรู่ ฝนตกพร่ำๆ
นั่งรถไฟหลับมาบ้าน ต้องลากกระเป๋าขึ้นมาจากเนินโคลนที่ก่อสร้างอยู่
มาถึงโรงเรียน จะเซ็นรับทุนวันนี้ก็ปิดอีก...

เลยต้องเสียตังค์ค่ารถไฟไปอีก campus หนึ่งเพียงเพื่อเซ็นทุน
เฮ้อออออ~
กลับมาบ้านก็ต้องซักผ้า จัดกระเป๋า
นี่ยังจัดไม่เสร็จนะ เพราะรอผ้าแห้งอยู่

โอย...เหนื่อย

แต่ก็คิดว่าถ้าไม่รีบมาอัพเดทซะตั้งแต่ตอนนี้
พรุ่งนี้กลับเมืองไทยไปก็คงไม่มีอารมณ์มานั่งอัพหรอก
เน็ทก็ช้า อากาศก็ร้อน ฮ่าๆๆๆๆ

บ่น บ่น บ่น บ่น บ่น

หนาวก็บ่นร้อนก็บ่น ท่าทางจะแก่แล้ว -_-"

อ่อ...
อีกอย่างนะ
คิดว่าอีกไม่นานจะย้าย web hosting แล้วล่ะ
เพราะอันนี้มันใส่รูปได้น้อยอ่ะ แล้วบางทีโหลดรูปไม่ค่อยขึ้น
ไว้ย้ายเสร็จเมื่อไหร่จะมาบอกละกันนะ

อ่อ...
แล้วก็คิดว่าคงได้ฤกษ์จะอัพเป็นภาษาอังกฤษแล้วล่ะ
หลังจากมีเพื่อนต่างชาติเพิ่มขึ้นๆ

โอ้...ก้วน skill ภาษาอังกฤษอันต่ำต้อยของเรา
จะอ่านกันเข้าใจไหม ฮ่าๆๆๆๆๆ

....................................................

บ่นเสร็จแล้ว ขอเข้าเรื่อง
อย่างที่แจ้งให้ทราบเมื่อคราวที่แล้วแล้วว่าจะเข้าโตเกียว
เหตุผลก็คือ ยังกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากต้องรอเซ็นทุนวันที่ 1 มีนา
และอีกเหตุผลหนึ่งคือ จะไปเยี่ยมนาโฮโกะ นั่นเองงง

คืนวันที่ 24 หลังจากเหยียบโอซาก้าได้ไม่ครบวันเต็ม
ก็ต้องลากกระเป๋าไปขึ้นรถทัวร์อย่างไม่ทราบชะตากรรม
เป็นการขึ้นรถทัวร์ "คนเดียว" ครั้งแรก
แถมดันมาขึ้นในประเทศที่คุยกะคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่รู้เรื่องอีกตะหาก

ไปถึงอุเมดะด้วยความงงงวย..
แต่งานนี้ต้องขอขอบคุณพี่จุ๊บเป็นอย่างสูงนะคะ
ที่ไปยืนให้กำลังใจ และส่งโบว์ขึ้นรถไปโตเกียวได้โดยสวัสดิภาพ
ขอกราบงามๆ...ให้ ณ ที่นี่
ขอให้ผลบุญที่พี่ได้ทำ ส่งผลให้พี่เรียนจบในเร็ววัน
ส๊า~~~~~ธุ

ขึ้นรถด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ...
นอนไม่ค่อยหลับเช่นเคย

ไปถึงชินจูกุ เวลา 6.00 น.
ถึงก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมง

ตอนแรกก็เอะใจนะ...
เพราะคิดว่ามาชินจูกุครั้งนี้มันครั้งที่ 4 แล้วนะ
จะไปหลงได้ยังง๊ายยยยย~

แต่พอลงรถมา...
เอ...
ตรงนี้มันส่วนไหนของชินจูกุหว่า -_-"

ไอ้เราก็เดินตามหาห้องน้ำเพื่อจะล้างหน้าล้างตา
ทำผม แต่งหน้า ให้หน้าเป็นคนหน่อย
เคราะห์กรรมซ้ำเติม...
หกโมงเช้าห้องน้ำยังไม่เปิดค่ะ -_-"

ก็เลยคิดว่า..เอางี้ละกันเราลองขึ้นบนดินไป
เผื่อเราจะเจอจุดที่เราคุ้นเคย...
เดินวนรอบสถานีไปเกือบรอบนึงได้มั้ง

ในที่สุด...
ในที่สุด...
เราก็เจอสถานที่ช็อปปิ้งที่เราคุ้นเคยยยย

คิดถึงลูกตาลเลย...ลูกตาลลลลลล
ตรงนี้ไงที่เราเคยเดินมั่วซั่วมากินอาหารอิตาเลียนกันเมื่อปีที่แล้ว

ไม่พูดพร่ำทำเพลง...
มองหา McDonald's และส่งเมลไปหานาโฮโกะ

สิบโมง...นาโฮโกะก็มา
โอ้...คิดถึงมาก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน
ดูผอมลงนะ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่ผอม
หรือว่าเราอ้วนจนมองคนอื่นผอมไปหมดแล้วหว่า

อ่อ..แล้วบอกไว้ก่อนนะว่าไม่ได้มาเที่ยวน้า
มาโตเกียวครั้งนี้มาเยี่ยมญาติโดยเฉพาะ
เพราะโตเกียวมาหลายครั้งแล้วอ่ะ

สถานที่แรกที่ไปคือ สวนสาธารณะ Ueno
นาโฮโกะชวนไปพิพิธภัณฑ์ Tokyo Metropolitan Museum
เพราะว่ามีงานของรุ่นพี่ที่รู้จักมาตั้งโชว์อยู่ด้วย


ถึงแล้ว..ชอบลูกๆนี้มาก ตั้งอยู่ข้างหน้าพิพิธภัณฑ์เลย

หลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วก็ไปกินข้าว
แล้วก็ไปเดินห้าง แล้วในระหว่างเดินห้างอยู่นั้นก็เจอ
"Hokkaido Umai Mono Matsuri"
(เทศกาลของอร่อยของฮออคไกโด)

ได้ยินชื่อก็น้ำลายสอกันแล้วดิ....
เอารูปมาให้ดูกันเซิร์ปๆ สองรายการที่คิดว่าเด็ด นั่นคือ...

อันนี้อาจเรียกได้ว่า..ข้าวหน้าก้ามปูยักษ์


อันนี้เห็นแล้วอยากอ้วน เหอๆ...

อ่อ..ฮอคไกโดนี่มีชื่อเสียงเรื่องผลิตภัณฑ์จากฟาร์มและอาหารทะเลนะ

มีอย่างหนึ่งที่น่าเจ็บใจก็คือ..
มันมี Chocolate Royce' ขาย
กรี๊ดดดดดดดดดดดด

อาทิตย์ที่แล้วสั่งช็อคโกแลตยี่ห้อนี้มาจากฮอคไกโด
เสียค่าส่งตั้ง 1,100 เยน แงแงแงแง

วันแรกในโตเกียวจบลงด้วยความเจ็บใจ
ไปถึงบ้านนาโฮโกะก็สลบเหมือด...เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน

............................................

วันที่สอง...
ตื่นสาย...
นอนอิ่มมาก ทดแทนเวลาที่หายไปได้เลย

วันนี้ที่ที่จะไปก็คือ...ศาลเจ้าคามาคุระ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทางเข้าทุกวัดต้องมีสถานที่ทดสอบกิเลสมนุษย์ (เพศหญิง)
ด้วยการมี shopping street ควบคู่ไปด้วยแทบทุกวัดน้า~

ฮ่าๆ...ไม่ๆๆๆ ไม่ได้ซื้ออะไรมา
สงสัยเฉยๆ

ถึงศาลเจ้าแล้วจ้า
นี่ขนาดฝนตกนะ คนยังเยอะขนาดนี้


วันนี้โชคดี...มีงานแต่งงานด้วย

สถานที่ต่อไปที่จะไปก็คือ...
China Town!!!

อ่อ...ลืมบอกไปนะ
ว่าคามาคุระ และ China town เนี่ยอยู่ที่จังหวัดคานากาว่า
ไม่ใช่โตเกียวนะ..เพราะบอกแล้วไงเที่ยวโตเกียวเยอะแล้วว

ถึงแล้วจ้ะ China town ที่โยโกฮาม่า


ไม่พ้นที่จะเห็นซาลาเปาควันฉุยอยู่ทุกร้าน
มีบางลูกใหญ่มาก ลูกละ 900 เยนก็มีนะ
เหวอออออ (คูณ 0.35 เอาเองนะ)


จบวันที่สองด้วยความทุลักทุเล เพราะฝนตกพรำๆทั้งวัน
หนาวจับใจยิ่งนัก

..............................................

วันที่สาม...
วันนี้นาโฮโกะไม่ว่าง ต้องทำการบ้าน
แต่ไม่เป็นไรเพราะนัดพี่นิไว้แล้ว

ตอนเช้าติดสอยห้อยตามนาโฮโกะไปที่มหาวิทยาลัย Keio วิทยาเขต Shonen อะไรสักอย่าง..
ซึ่งนาโฮโกะบอกว่า campus ของนาโฮโกะมันบ้านนอกมากๆๆๆๆ
พอไปถึง...ก็นะ มีแต่ตึกที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้า (ไม่ใช่ทุ่งนานะ)


ไปเล่นเน็ทตอนเช้า พอเที่ยงก็ออกมา เพราะนัดพี่นิไว้ตอนบ่ายสอง

วันนี้พี่นิจะพาไปเที่ยวสถานที่ที่ชื่อว่า Minato Mirai
เห็นเฮียโฆษณาไว้ตั้งนานแล้วว่าที่นี่สวยทั้งกลางวันกลางคืน
ส่งเว็บมาให้ดูหลายรอบแล้วด้วย ฮ่าๆๆๆ

ก่อนพี่นิจะมาก็ได้ไปแวะที่ร้านหนังสือเล็กน้อย
แล้วก็พบว่าโคนันที่นี่ออกถึงเล่มนี้แล้วนะ

โอ้..ไม่จบไม่สิ้นกันสักที การ์ตูนเรื่องนี้
ชั้นอ่านมาตั้งแต่ ป.5 แล้วนะ คนเขียนมันยังไม่เบื่ออีกเหรอเนี่ย

ไปเที่ยวกันดีกว่าๆ
ถึงแล้วมินาโตะมิไร

โยโกฮาม่าเป็นเมืองท่านะ เหมือนโกเบน่ะแหละ
ทำให้มีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกอยู่เยอะ
รูปที่เห็นไม่ใช่บ้านจริงนะ มันเป็นสวนสนุกน่ะ


รูปนี้เห็นทะเลข้างหลัง เป็นท่าเรือนะ


รูปนี้แอบถ่ายคนเล่นกับแมว ฮ่าๆๆ ขอถ่ายดีๆไม่ชอบ ต้องให้แอบ ฮ่าๆๆๆ


มื้อเย็นที่ China Town ที่ไปมาเมื่อวาน คือมันใกล้กันน่ะเลยเดินไป
เป็นติ่มซำทะเบะโฮได (แปลว่าบุฟเฟต์) ฮ่าๆๆ


ปิดท้ายด้วยรูปมินาโตะมิไรยามค่ำคืน สวยจังน้า~

...................................................

วันที่สี่...
วันนี้ก็นัดเพื่อนไว้อีกเหมือนกัน

คราวนี้เป็นเพื่อนคนญี่ปุ่นที่เคยเจอกันแว้บๆที่ HPAIR
คือถ่ายรูปด้วยกันตอนงาน International Night น่ะ
ก็เลยขอ e-mail เค้าไว้แล้วก็ส่งรูปไปให้

หลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยๆ
พอมาโตเกียวก็เลยบอกเค้า
เค้าก็เลยชวนมากินข้าวด้วยกัน

คนนี้ๆ


นัดเจอกันที่ชินจูกุ
มาสาย..เพราะพอดีเกิดเหตุการณ์คนฆ่าตัวตายตรงรางรถไฟ
ทำให้รถไฟมาช้า (ดีนะ..ไม่เห็นเหตุการณ์ บรื๋อ~)

นาโฮโกะบอกว่าที่นี่มีคนฆ่าตัวตายให้รถไฟชนทุกวัน
จนคนเลิกตื่นเต้นไปแล้ว คนที่ทำงานที่รถไฟก็เก็บศพกันภายในห้านาที เหอะๆๆ

เข้าเรื่องดีกว่า...
พอไปช้าเค้าก็เลยให้โทรไปหาเค้า
พอโทรไป เค้าพูดภาษาญี่ปุ่นมา
เราก็ต่อมภาษาญี่ปุ่นกระตุก...ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น
ไปได้สักสี่ห้าประโยค สงสัยเค้าเริ่มจับได้ว่าพูดไม่รู้เรื่อง
เลยพูดภาษาอังกฤษมา... ฮ่าๆๆๆ อนาถ 5 เดือนผ่านไป ภาษาญี่ปุ่นไม่กระเตื้อง

พอเจอกัน...
เอ๋...หน้าตาคุ้นๆ
แต่ทำไมมันดูเท่ห์ขึ้นว้า

ก็ไปกินข้าวกัน นาโฮโกะด้วยนะ
อ่อ..ลืมไป ชื่อ มาซาฮิโร่ เรียนอยู่ที่โทได นิติศาสตร์ ปริญญาโท
แถมพูดภาษาอังกฤษเก่งมากกก พูดเพราะมากกกกก

โอย..ชั้นอิจฉา
เค้าถามว่าภาษาอังกฤษเรานี่สำเนียงอังกฤษ
เรามีงง... เราบอกว่าน่าจะเป็น American นะ
แต่ไม่รู้ภาคไหนของอเมริกาล่ะ จริงๆแล้วมันเป็นสำเนียงที่ชั้นคิดเอง ฮ่าๆๆๆ

กินไปคุยไป...
รู้สึกว่าตัวเองพูดเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตั้งแต่เมื่อวานที่เจอกับพี่นิแล้ว
เหมือนเก็บกดไม่ได้พูดมาสิบปี พูดไม่หยุดเลย
แล้วไม่รู้ขุดเรื่องอะไรมาพูดตั้งมากมายนะ

โอย..เหนื่อยไปเลย

ก่อนจะแยกกันก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ให้เปรียบเทียบกับรูปข้างบน
คือ..เท่ห์ขึ้นจริงๆนะ กรี๊ดๆๆๆ...เก็บมากรี๊ด

หลังจากนั้นก็ไป Tokyo Dome กับนาโฮโกะ
มีสวนสนุกชื่อ L'aqua ด้วยนะ
โรลเลอร์คอสเตอร์น่าเล่นมากกกกกกกกก
เพราะมันสูงมากกกกกกกกกก
แต่เนื่องจากอากาศหนาว ทำให้เกรงว่าจะเป็นปอดบวมลงมา
เลยไม่เล่น (ไม่รู้เป็นข้ออ้างหรือเปล่านะ แหะๆ)


ที่นี่มีร้าน Bakery ของ Moomin ด้วยนะ
น่ารักมากมายอ่ะ

ปิดท้ายการท่องเที่ยวโตเกียวครั้งนี้
ด้วย Namja Town ที่อิเคบุคุโระ

จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไปหรอก
แต่พอดีมันใกล้ แล้วก็ไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยไปที่เนี่ยแหละ

มันคือเมืองแมวน่ะ...
ข้างในก็มีอะไรให้เล่นให้กินนิดหน่อย

มีบ้านผีสิงแมวด้วยนะ

ตาหลกดี..ฮ่าๆๆๆ

หลังจากนั้นก็ไปนั่งกินอาหารอิตาเลียน
แล้วก็นั่งคุยกันอยู่สองชั่วโมง...

โอย..เปนอะไรไม่รู้
สี่วันที่มาที่นี่ พูดไม่หยุดเลย
แล้วก็รู้สึกว่าสนุกมากอ่ะ

แล้วทำไมอยู่โตเกียวมันมีคนรู้จักเยอะจังง่ะ
แล้วแต่ละคนก็ดี๊ดีกับเรากันทั้งนั้น

สงสัย...จะได้มาอีก แหะๆๆ

นาโฮโกะบอกว่าคราวหน้าถ้ามานี่คงย้ายบ้านแล้ว
ให้ไปลงที่สถานีโตเกียวแทนนะ ไม่ต้องลงที่ชินจูกุ

แหะๆ..เหมือนรู้ว่าเราจะไปอีกยังไงก็ไม่รู้แฮะ

ห้าทุ่มกว่า...ขึ้นรถกลับโอซาก้า

ยังไม่อยากกลับเลย
ท่าทางจะหลงแสงสีเสียแล้วเรา


สุดท้าย...
ขอขอบพระคุณบุคคลต่อไปนี้ที่ทำให้สี่วันในโตเกียวสนุกสุดๆ

เต้ง - ขอบคุณที่เป็นธุระเรื่องการจองตั๋วรถทัวร์ให้ทั้งไปและกลับ
พี่จุ๊บ - ขอบคุณที่ไปให้กำลังใจโบตอนก่อนขึ้นรถ ทำให้มั่นใจว่าไม่ขึ้นรถผิดคันแน่นอน
นาโฮโกะ - ขอบคุณมากที่สละเวลา และที่พักให้เราไปนอนเล่นอยู่ตั้งสี่วัน ขอบคุณมากๆๆๆ และขอโทษที่ชวนคุยตลอดเวลา และบางครั้งให้ช่วยตอบอีเมลภาษาญี่ปุ่นจนต้องนอนดึกดื่น
พี่นิ - ขอบคุณที่สละเวลาเช่นกันที่พาโบไปเที่ยวมินาโตะมิไร พาไปกินติ่มซำทาเบะโฮได และขอบคุณที่เป็นเพื่อนคุยที่คุยได้สนุกสุดๆไปเลยคะ
Masahiro - I don't know that you'll have any chance to read my message to you or not but I wanna say thank you for everything. It was very nice to see you in Tokyo and I hope to see you again somewhere someday.

พรุ่งนี้จะกลับกรุงเทพฯแล้ว
สำหรับคนที่เมืองไทยก็ไว้เจอกันนะ
และสำหรับคนที่อยู่ญี่ปุ่นก็ไว้เจอกันเดือนเมษาฯค่า

ขอบคุณที่ติดตามอ่านไดอารี่สุดยาววันนี้ของโบ ^^