zz *Bow's Journey Under the RainBow*: December 2005

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Thursday, December 29, 2005

พี่เจ้าป้า...

ขอบคุณค่ะพี่เจ้าป้า...

ขอบคุณที่อุตส่าห์แลก flight มาเยี่ยมโบว์ถึงโอซาก้า
แต่โบว์ก็ไม่ได้พาไปเที่ยวไหนเลย
ได้แต่พาพี่ไปเดินช็อปปิ้ง เสียตังค์เป็นจำนวนมาก เหอๆๆๆ

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ

พี่เจ้าป้ามาเยี่ยมโบว์วันนี้ โบว์หายเหงาไปอีกตั้งเยอะเลย

แล้วมาเยี่ยมอีกนะคะ
คราวหน้าสัญญาว่าจะพอไปเที่ยวที่อื่นนอกจากช็อปปิ้งให้ได้เลย ^^

Tuesday, December 27, 2005

In Memory of Tsunami...


ปีที่แล้วเรายังจำได้....
ตอนเช้าตื่นมาแม่เราบอกเราว่า "โบเห็นข่าวคลื่นยักษ์หรือยัง"
ตอนแรกเรายังไม่นึกว่ามันจะเป็นเหตุการณ์แห่งความสูญเสีนครั้งยิ่งใหญ่
แต่หลังจากวินาทีนั้นเราเชื่อว่าทุกคนต่างก็ตกใจ และเศร้าสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในภาพข่าว...
เราเห็นภาพใครหลายๆคน ร่ำไห้เพราะความสูญเสีย
ป่านนี้...คนเหล่านั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ...

ไม่กี่วันต่อมา...เราก็ได้เห็นพลังน้ำใจของคนไทย และชาวโลกที่ส่งทั้งกำลังกาย กำลังใจและกำลังทรัพย์ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนั้น... หลังจากคลื่นยักษ์ที่นำไปสู้ความสูญเสีย นำมาสู้คลื่นน้ำใจที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่ามาก

วันหนึ่ง...เราจำได้ที่สภากาชาดไทย
เรามองเห็นกองของบริภาคเป็นภูเขา...
เรา...ซึ่งตอนนั้น คงช่วยอะไรไม่ได้มากนอกจากการไปร่วมกับเพื่อนๆที่คณะ
ไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลืออะไรเล็กๆน้อยๆ
ซึ่งเราประทับใจมาก เพราะวันนั้นไม่ใช่แค่เราและเพื่อนๆที่คณะ
แต่มีใครก็ไม่รู้อีกมากมายเบียดเสียดกันเข้าไปช่วยงานสภากาชาดไทย

ตอนแรกเราตั้งใจจะบริภาคเลือด เพราะรู้สึกว่าเลือดกรุ๊ป O ของเราคงจะช่วยเหลือคนได้หลายๆคน
แต่ว่าคิวยาววววมากกกก เจ้าหน้าที่บอกเราว่า "น้องต้องรอสักหนึ่งสัปดาห์นะคะ"
นี่ขนาดจะบริจาคเลือกยังต้องเข้าคิว ว่างั้นอ่ะ

สรุปว่า...วันนั้นท่าทางเราจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
นอกจากไปนั่งแยกเสื้อผ้า ที่ถึงแม้จะมีของประหลาดๆ เช่น กางเกงในจีสตริงที่ไม่รู้ว่าจะแยกเป็น
ของผู้ชายหรือของผู้หญิงดี -_-"
และถึงแม้จะทำให้เห็นภาพของหลายๆคนที่ถือโอกาสจากการสูญเสียครั้งนี้มาเพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดี...
ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลเข้ามาในครั้งนั้นก็ทำให้เราประทับใจ

และรู้สึกว่า...
ดีใจจัง ที่ได้เกิดมาในประเทศที่ผู้คนมีน้ำใจมากมายขนาดนี้

ครบรอบหนึ่งปีสึนามิ...คงไม่มีใครที่สามารถจะลืมเลือนความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนั้นได้
ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนมนุษย์ต่างสูญเสีย

สุดท้าย...ขอส่งกำลังใจเล็กๆไปเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
และขอให้กำลังใจที่ส่งไปให้ในครั้งนี้ ทำให้ผู้คนที่สูญเสียมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป
เราเชื่อว่าหลังจากพายุได้ผ่านพ้นไป สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าก็คือท้องฟ้าที่สดใสอย่างแน่นอน

Sunday, December 25, 2005

โกเบ...เมืองแห่งความโรแมนติก

หวัดดีจ้า~
ตอนนี้คงสอบกันเสร็จแล้วอ่ะดิ

ตอนนี้กลังจากหิมะตกเมื่อวันนั้น....
มันก็ละลายไปหมดแล้วล่ะ สวยอยู่แค่วันเดียว เหอๆ
ส่วนอากาศก็หนาวธรรมดาเมื่อไม่มีลม
แต่ถ้าลมพัดมาเมื่อไหร่ จะกลายเป็นหนาวสุดๆ

ไม่ทราบว่าจะมีชีวิตอยู่รอดภายใต้บิลค่าไฟสุดแพงได้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
เหอๆ....
ขอกำลังใจด่วนๆ

............................

หลังจากอยู่โอซาก้ามาครบสามเดือนแล้ว (เร็วเหมือนกันเน๊อะ)
เพิ่งจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวโกเบอย่างจริงๆจังก็เมื่อวานนี้เอง

พอดีว่าพี่ๆสมาคมนักเรียนที่เฮียวโกะเค้าจะจัดงานเลี้ยงปีใหม่
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา...ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะไปหรอกเพราะว่าไม่รู้จักใคร
แต่พอดีพี่ใหม่ (เกียวโต) ชวนไป แถมยังแถมที่พักให้อีกหนึ่งคืน
คือไปค้างกับเพื่อนพี่ใหม่ที่เป็นคนฟิลิปปินส์
และวันต่อมาจะมีทัวร์เที่ยวโกเบอีก

เราก็ใจง่าย....
เค้าชวนไปก็ไป เค้าให้ไปค้างก็ค้าง เหอๆๆๆ

วันศุกร์ก็ไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารไทยชื่อ "บ้านสมเด็จ" ที่โกเบ
แถมด้วยมีคาราโอเกะไทยอีก....มีหรือขจีภรณ์จะพลาด
แต่คราวนี้เราว่าเรารมีมารยาทขึ้นเยอะเลยนะ
เพราะว่าไม่แย่งใครร้องแล้ว
แถมก่อนจะเลือกเพลงต่อไปยังรอให้คนอื่นเลือกไปก่อนอีกตะหาก

เหอๆ...เราเปลี่ยนไป


แล้วก็ออกจากร้านตอนเที่ยงคืนพอดีเพราะจะต้องจับรถไฟเที่ยวสุดท้ายไปบ้านเพื่อนพี่ใหม่
พอไปถึง เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับ เป็นคนฟิลิปปินส์ชื่อแมรี่
เราก็นะไม่ได้รู้จักมักจี่ไรกะเค้าเลย ก็แอบเกรงใจอยู่เหมือนกัน
แต่ก็เท่านั้นแหละ....ก็ต้องนอนบ้านเค้าอยู่ดี เหอๆ
ตกกลางคืนมีสงครามเงียบแย่งผ้าห่มกับพี่ใหม่อยู่เป็นระยะๆ
แต่รู้สึกว่าเราจะแพ้ทุกครั้งนะ เพราะเรารู้สึกว่าตัวเราหนาวไปครึ่งนึงตลอด เหอๆ
เห็นตัวเล็กๆ แรงดึงผ้าห่มเยอะเหมือนกันนะพี่ใหม่
พอถึงตอนเช้า
ตื่นมาตอบสิบโมงยี่สิบ.....
แต่นัดพี่น็อตไว้ตอนสิบเอ็ดโมง!!!
ตาลีตาเหลือก ล้างหน้าล้างตาแต่งตัวกันสุดๆ

อ่อ...ที่วันนี้จะมีไปทัวร์โกเบกันอ่ะนะ
ก็เพราะว่าพี่น็อต (เกียวโต) จะพาเพื่อนสองคนที่มาจากอเมริกามาเที่ยวกัน
รวมถึงมีพี่ๆจากเกียวโตมาอีกด้วย
เราก็เลยได้อานิสงค์นี้ไปด้วย เหอๆๆ

แต่ถึงแม้จะตื่นสาย....
ก็ยังไม่ถึงสถานที่นัดตามเวลา เชื่อไหมล่ะ อิอิ

ก็เริ่มการทัวร์จาก China Town เลย


แต่ China Town ที่นี่แพ้เยาวราชไปเลยนะ เพราะมันเป็นแค่ถนนเส้นนึง
ที่มีการตกแต่งแบบจีน และมีคนยั๊วเยี๊ยะไปหมด
บางร้านมีคนต่อแถวรอกินตั้งแต่หัวถนนจนถึงสุดถนน...
ก็สงสัยอยู่ว่าเค้าจะได้กินกันตอนกี่โมง
ส่วนพวกเราก็แคร์ที่จำนวนคนเหมือนกัน แต่ขอเลือกคนน้อยนะ
เลยไปสุดท้ายที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีซาลาเปารูปคิตตี้จัง อิอิ
จะก็อปไอเดียไปขายตอนงานลอยกระทงปีหน้าก็ไม่ว่ากัน รับรองขายดีๆ
เพราะอย่างน้อย เราแก่ป่านนี้แล้วมันก็ยังหลอกให้เราซื้อมันมากินได้ เหอๆ


เมื่อกินกันอิ่มหนำแล้วก็พากันทัวร์ต่อไปยัง
อนุสรณ์สถานเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่โกเบ เมื่อปี 1995
คราวที่แล้วจำได้ไหมที่เราบอกว่าเค้าจัดแสดงไฟยิ่งใหญ่ทุกปีที่โกเบ ชื่อ Luminalia
เพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวตในเหตุการณ์นั้น
ใครจำไม่ได้กรุณากลับไปอ่านไดอารี่เราหัวข้อ "ครอบครัว" แล้วจะเข้าใจมากขึ้น อิอิ

อนุสรณ์สถานนี้เค้ายังคงเก็บรักษาซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นไว้อยู่
อย่างรูปข้างล่างนี้สังเกตุว่าเสาไฟสามสี่ต้นที่อยู่ด้านหลังมันจะเอียงๆใช่ป่ะ
นี่แหละเกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้น

รูปต่อมาถ่ายกับโกเบทาวเวอร์ ที่เห็นเป็นสีแดงๆข้างหลังน่ะแหละ
อยู่บริเวณ Port of Kobe เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองเลยนะ
อ่อ...โกเบนี่เป็นเมืองท่าแรกๆของญี่ปุ่นที่เปิดให้มีการค้ากับตะวันตกเลยนะ
นั่นทำให้สถาปัตยกรรมบางอย่างของโกเบดูเป็นตะวันตกมาก
รวมถึงภาษาที่ใช้กันในโกเบก็ไม่ได้ใช้ภาษาคันไซอย่างที่เกียวโตหรือโอซาก้าใช้กัน
ทั้งๆที่ตั้งอยู่บริเวณคันไซ...แต่กลับใช้ภาษากลาง


หลังจากนั้น....
แมรี่ก็พูดว่า "Someone is happy"
ช่ายยยยย เราเอง...พอดีนะเราร้องมาแต่เช้าแล้วว่าอยากไป
Sweet Habour Land มันคือร้านขนมที่ใหญ่มาก และมีชื่อเสียงมากของโกเบ
พอมาถึงก็ไม่วายจะดีใจ เย้ๆ ได้กินเค้กแล้ว

แต่ดีใจอยู่สักพักนึง พอเดินเข้าไปก็เจอฝูงชนจำนวนมหาศาลแย่กันซื้อ
แย่งกันนั่ง แย่งกันทำทุกอย่าง....
เอ...หรือว่าที่ขนมที่นี่มันอร่อยก็เพราะว่ามันต้องเหนื่อยก่อนตอนหาที่นั่ง
และตอนหาซื้อขนมที่อยากกินหว่า พอมานั่งกินมันก็เลยอร่อย
เหอๆ....เป็นได้นะ
อันนี้เราลืมถ่ายรูปขนมที่เราได้กินไป พอนึกได้ก็กินหมดไปซะแล้ว
เลยเอารูประหว่างซื้อมาให้ดูกันละกันเน๊อะ...


นี่คือจำนวนคนที่ยืนต่อแถวรอเข้าบริเวณ Sweet Habour Land กันอยู่
แต่อันนี้ไม่รู้ว่าเค้าโง่หรือเราเสียมารยาท เพราะตอนที่เราเข้าไปอ่ะ
เราไม่ได้เข้าประตูที่เค้ายืนต่อแถวรอกันยาวเหยียดอยู่เนี่ย
คือ...มันมีอีกประตูนึงที่มันเข้าได้ง่ะ แล้วก็ไม่ยักะมีใครเฝ้าด้วยอ่ะดิ

เอาล่ะ...
กินของหวานกันเสร็จแล้ว
ก็ไปเดินย่อยกันหน่อยที่คิตาโน่...
คิตาโนเป็นย่านที่มีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก
แล้วเค้าก็ยังอนุรักษ์ตึกพวกนั้นซึ่งเคยเป็นสถานทูตของประเทศต่างๆในอดีตไว้
ทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว

บ้านหลังนี้จำไม่ได้แล้วว่าเป็นสถานทูตประเทศอะไร
รู้สึกว่าจะเยอรมันล่ะมั้ง เหอๆ...ใครเข้ามาดูแล้วรู้ว่ามันผิดช่วยมาแก้ด้วยนะ
บ้านหลังนี้ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของโกเบนะ นอกจากโกเบทาวเวอร์แล้วน่ะ

หลังจากนั้นก็มืดพอดี...รวมทั้งหิมะที่เริ่มโปรปรายลงมาเล็กๆน้อยๆให้หนาวเล่นๆ
ตรงถนนบริเวณคิตาโน่ก็มีประดับไฟคริสต์มาสสวยงาม

จบการทัวร์วันนี้...ต้องขอได้รับความของคุณจากบุคคลต่อไปนี้
พี่ใหม่ - ที่ชวนโบมาด้วยอ่ะนะ ไม่งั้นโบคงนอนเบื่ออยู่บ้านเหมือนวันปกติทั่วไป
แมรี่ - ที่พัก และอาหารเช้า รวมถึงการเป็นไกด์พาเที่ยวที่ดีมากๆค่า
พี่น็อต พี่ต้น พี่กอล์ฟ พี่โอ พี่กุ๊กและพี่ปุ้ย - เพื่อนร่วมทางที่แสนวิเศษ

ขอบคุณมากค่าาาาาา

...............................................

อ่อ สงสัยกันมั้ยคะคุณผู้อ่าน ว่าทำไมเราถึงตั้งหัวข้อไว้ว่า
"โกเบ เมืองแห่งความโรแมนติก"
คือ ถึงแม้เราจะไม่ได้มีอารมณ์โรแมนตกกะเค้าเท่าไหร่
แต่ท่าทางว่ามันจะโรแมนติกจริงๆหว่ะ

เออ และมันอาจจะเป็นคริสต์มาสอีฟด้วยล่ะมั้ง
มองไปทางไหน ก็ทำให้เห็นแต่คนที่มาเป็นคู่ๆ คู่ๆ คู่ๆ
กลุ่มคี่เก้าคนแบบเราก็ท่าทางจะเป็นกลุ่มที่แปลกไปสักหน่อยสำหรับการมาเดินเมืองนี้ เหอๆ

อ่อ...รู้กันใช่ไหม ว่าหนุ่มสาวญี่ปุ่นเค้าไปทำอะไรกันวันคริสต์มาสอีฟ
คงไม่ต้องเล่าให้ฟังนะ....เหอๆ


สุดท้ายแล้ว...
วันนี้ทั้งเล่าเรื่องและมีรูปประกอบเต็มที่
ขอบคุณทุกคนนะสำหรับกำลังใจที่ให้กับเรามาตลอด
ตอนนี้เราว่าเรากลับมาหายบ้าแล้วล่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการนั้นมันจะกลับมาอีกหรือเปล่า
ยังไงก็ขอบคุณนะ แล้วก็ถ้าเราเกิดบ้าขึ้นมาอีก ก็ช่วยอยู่ข้างๆเราเหมือนเดิมนะ

คิดถึงมาก
Merry Christmas จ้าา

Wednesday, December 21, 2005

หิมะตกแว้ววว อันนี้ของจริง~~!!

ตอนแรกวันนี้กะจะไม่อัพไดนะเนี่ย
ทั้งๆที่มีเรื่องที่คิดว่าจะเขียนอยู่แล้ว
ถ่ายรูปไรมาเสร็จสรรพแล้วด้วยนะ
เพราะคิดว่าอัพบ่อยเกิน เดี๋ยวคนอื่นตามไม่ทัน หุหุ

แต่ว่า...
พอถึงตอนนี้
ตัดสินใจมาเขียน
แต่เรื่องที่คิดว่าจะเขียนไว้เมื่อกี้ขอเก็บไว้ก่อน

เพราะ....

มีรูปหิมะมาอวดแหละ อิอิ

ขอโทษที่คราวที่แล้วเอารูปหิมะหยุมหยิมมาอวด
พอดีตอนนั้นตื่นเต้นไปหน่อย มันตกนิดนึงกรูก็พยายามถ่าย
ถึงแม้มันจะออกมาให้เห็นก็บังคับให้คนดูทำเป็นเห็น

จริงๆจุดหิมะที่เห็นคราวที่แล้วมันอาจจะเป็นฝุ่นก็ได้ครายจารู้ เหอๆๆ
(เราก็ไม่รู้ง่ะ...-_-")

แต่นี่...ของจริงเลยคุณผู้อ่าน
พอดีเมื่อกี้เล่นเอ็มอยู่ผิงมาทักบอกว่าที่หอหิมะตก
เราก็เลยเปิดม่านออกไปดูนอกหน้าต่างว่าที่หอเราตกป่าวหว่า

โห...มองแทบไม่เห็น
เพราะกระจกมีไอน้ำเกาะเต็มไปหมดเลย แถมหยดลงมาบนพื้นห้องเปียกอีก
(เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าอากาศในห้องกะนอกห้องมันโคตรต่างอ่ะ)

โอ้...ตกจริงๆ เป็นปุยๆเลยค่ะคราวนี้

เลยตัดสินใจคว้าเสื้อโค้ท และกล้องถ่ายรูป
และเปิดประตูออกไปนอกระเบียง

เอาวะ...วันนี้ชั้นจะท้าลมหนาว เก็บรูปมาให้ทุกคนดู
(ดูเหมือนทำเพื่อคนอื่นมะ...จริงๆแล้วตัวเองก็ตื่นเต้น เหอๆ)

เริ่มเลยละกันเน๊อะ...

รูปแรก ถ่ายจากระเบียงห้องนอกเราเนี่ยแหละ ข้างล่างเป็นลานจอดรถ จริงๆแล้วรถที่จอดอยู่ห้าคันน่ะเป็นสีขาวคันเดียวนะ นอกนั้นสีน้ำเงิน แต่ตอนนี้เกือบจะกลายเป็นสีขาวหมดทุกคันแล้วล่ะ


โทษนะ รูปมันไม่ค่อยชักอ่ะ พอดีมือมันสั่นเวลาถ่ายตอนกลางคืนมันก็เลยเบลอๆงี้แหละ อันนี้เป็นรูปขอบระเบียงห้องเราเอง สังเกตุว่าที่เป็นเกร็ดขาวๆนี่มันไม่ใช่ขี้เกลือนะเฟร้ย มันคือหิมะจิงๆง่ะ

รูปเมื่อกี้อาจจะส่งสัยว่า
อารายว้า~~ ตกแค่นี้เอามาอวด

แต่เดี๋ยวก่อน...
ระหว่างที่เรานั่งอัพไปตอนแรกๆ ก็ได้แวะออกไปดูอีกรอบนึง
สรุปว่าตอนนี้เป็นแบบนี้ไปแล้วววว

กว๊ากกกกก จักรยานชั้น แข็งแน่
ถึงจะไม่ค่อยได้ขี่...ชั้นก็เข้ามานะ งืองือ

เป็นงายล่ะ...
วันนี้พอใจกันป่าวกะรูปที่เราเอามาฝาก

ต้องขอขอบคุณผิงที่บอกให้ออกไปดู
ไม่งั้นกว่าจะรู้ตัวพรุ่งนี้แดดตอนเช้าก็คงทำให้
หิมะที่ตกยามค่ำคืนละลายไปหมดแล้วล่ะ

แล้ววันหลังมีรูปสวยๆอีกจะเอามาฝากนะ
วันนี้ไปนอนก่อนล่ะ ดึกแล้ว
บ๊ายบายๆ คิดถึงทุกคน


เอาล่ะ...อันนี้มาแก้ไขเพิ่มเติมจะเมื่อคืนที่ตื่นเต้น
ตอนเช้าตื่นมาเปิดม่านเพื่อจะดูว่าหิมะละลายไปยัง
.....
จะเหงื่อตกก็ตกไม่ได้ เพราะหนาว
ตอนนี้ที่นอกหน้าต่างหิมะตกหนักมาก
เหมือนพายุหิมะเลยอ่ะ

พอมองออกไปเหมือนเห็นกุมารออกไปวิ่งเล่นหิมะอยู่สองสามคน
เอ่อ...จะให้ก้าวออกไปจากห้องตอนนี้ยังไม่ค่อยอยากเลยเน้อออ

ผิงไปอ่าน record มาบอกว่าปีนี้ญี่ปุ่นหนาวที่สุดในรอบสามสิบปี
ไม่ใช่ห้าหรือสิบปีอย่างที่เราบอกคราวที่แล้วน่ะนะ -_-"

อีกอย่าง..เมื่อกี้คุยกะพี่แดก
พี่แดกบอกว่าปีที่แล้วโอซาก้าหิมะตกน้อยมาก
แล้วทำไมปีนี้เป็นแบบนี้~~

ดูๆ..นี่คือหลักฐาน

เอ่อ....
จะไปเรียนได้หรือไม่
เหอๆๆๆ

หาเรื่องโดดเรียนอีกแล้ว

Monday, December 19, 2005

หิมะตกแว้วววว

สวัสดีทุกๆคน
หลังจากที่ทนดูเราพร่ำเพ้อพรรนามาสักพักใหญ่แล้ว
คงซึ้งกันมากจนเริ่มเบื่อกันแล้วอ่ะดิ

เราสบายดีน้าทุกคน...
ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่ส่งมาให้เราเสมอ
พอมาอยู่นี่แล้วซึ้งใจเพื่อนๆทุกคนมากมายเลยจริงๆ

เอาล่ะ...
เข้าเรื่องที่จะเล่าวันนี้ดีกว่า

วันนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก
เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาก่อนเที่ยงสักพักนึง
รู้เวลาเพราะเริ่มจะได้ยินเสียงท้อง (คนอื่น) ร้องกันโครกคราก
(เอ่อ..ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ว่าทำไมอยู่เมืองหนาวแล้วท้องร้องเสียงดัง
ทั้งๆที่ไม่ได้หิวเลยสักนิดอ่ะนะ)

พอดีวันนี้เรียนเรื่องซูโม่ ว่ากีดกันทางเพศอะไรยังงี้
เรียนมาสามอาทิตย์แล้วยังพูดไม่เลิกอีก เมื่อไหร่จะเปลี่ยนหัวข้อหว่า
มองออกไปนอกหน้าต่าง...เพราะเริ่มใกล้หลับเต็มทีแล้ว

แล้วก็สังเกตุเห็น....

หิมะตกแล้ว!!!

พอทุกคนสังเกตุเห็น
อาจารย์สังเกตุเห็น

ท่าทางเราจะตื่นเต้นอยู่คนเดียว...
เพราะคนอื่นเค้าหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
แล้วก็บอกว่า....ท่าจะหนาวมากเน๊อะข้างนอกอ่ะ

อืม...มันก็จริงอ่ะ ลมพัดแรงใบไม้สั่นไหว
เห็นบอกว่าปีนี้เป็นปีที่อากาศหนาวที่สุดในรอบห้าหรือสิบปีเนี่ยแหละ

พอคิดได้ยังงั้นก็เลยเริ่มระลึกได้ว่า...
เออ...เราจะตื่นเต้นไปทำไม ท่าทางจะหนาวหน้าดู
ยิ่งพอเห็นภาพประกอบเป็นต้นไม้ที่กิ่งลู่ไปตามลมแล้ว
(นึกภาพตามนะ) ได้อารมณ์มากๆ

หลังจากนั้นก็เดินออกไปนอกห้องเรียน....
ทำไมหิมะมันตกๆหยุดๆหว่า พอเราเดินออกมาไม่เห็นจะเป็นหิมะเลย
มีแต่น้ำหยดๆ...ยังกะฝน

เห็นใจคนบ้านนอกนิดนึง เพิ่งคยเห็นหิมะตกครั้งแรกในชีวิต

แต่มันตกนิดเดียวอ่ะนะ...
พยายามจะถ่ายรูปจากในห้องเรียนมาให้ดู
เพราะตอนเราออไปยืนตั้งท่าจะถ่ายข้างนอก ก็ไม่เห็นมันจะตก
พอเข้ามาในห้องนี่ตกมาเต็มสตรีมเลย
ท่าทางมันจะกลัวเรา...

เลยถ่ายมาให้ดูได้แค่เนี๊ยะ...


คือเห็นกันมั้ยอ่ะ...
มันเป็นจุดๆขาวๆอ่ะ เห็นป่าวๆๆๆ
พยายามเพ่งกันนิดนึง อุตส่าห์ถ่ายมา

สำหรับคนที่ผิดหวัง....
เรามั่นใจว่าหลังจากนี้มันคงตกเยอะกว่านี้
แล้วคงจะมีรูปหิมะสวยๆมาให้ทุกคนดู

อีกอย่างจะไปเล่นสกีต้นเดือนหน้า และไปฮอคไกโดต้นเดือนกุมภาฯ
มีรูปให้เห็นแน่นอนนนน ด้วยเกียรติของเนตรนารีสามัญรุ่นใหญ่

แต่คิดถึงความหนาวแล้วไม่ค่อยอยากเลยหว่ะ เหอๆ
แค่นี่ก็หนาวไม่รู้จะเอามือไปซุกที่ไหนของเสื้อแล้วง่ะ

......................................

จบเรื่องหิมะ
ขอเล่าเรื่องความโง่ของตัวเองนิดนึง

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปซื้อเนื้อมาจากซุปเปอร์
กะว่าจะทำเนื้อผักมันฝรั่ง หลังจากที่มีมันฝรั่งเหลือจากการทำมัสมั่นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

กลับมาถึงบ้านก็ล้างมือไม้ หมักเนื้อเสร็จสรรพ
แล้วก็เหลือไปเห็นคันจิตัวนึง...

เอ๋...คันจิตัวนี้มันคุ้นๆนา

เฮ้ย...

ไม่ใช่ว่ามันคือ...

คือ....

ม้า!!!!

แต่เพื่อความชัวร์ เลยไปกดดิคดู
เฮ้ย...มันม้าจริงๆหว่ะ

ซวยแล้ว...
สงสารน้องม้า นั่งรู้สึกผิดอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง
คิดว่าจะเอาไปทิ้งละ เพราะคิดว่าไม่กินน้องม้าแน่นอน

ภาพความทรงจำที่เคยขี่ม้าตอนม.1 แล่นเข้ามาในสมอง
โถ...น้องม้า~

แต่คิดไปคิดมา...
ถ้าเราเอาไปทิ้ง ม้าตัวนี้ก็ตายโดยเปล่าประโยชน์อ่ะสิ
เลยคิดว่าจะเอาไปให้รุ่นน้อง

รีบโทรหาคุณน้องเต้งเลย...
- "เฮ้ย..แกกินม้าเปล่าวะ"
- "เออ..ก็กินได้"

แล้วก็เล่าไปว่าไปซื้อเนื้อม้ามาจากซุปเปอร์
- "เนื้อม้าที่ไหนเค้าขายตามซุปเปอร์ เนื้อวัวป่าว"
ชั้นก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ ว่ามันเป็นม้าจริงๆ ชั้ยเปิดดิคแล้ว

ก็เลยถ่ายรูปป้ายคันจิส่งไปให้คุณน้องดู
สักพักคุณน้องก็โทรกลับมา
- "จะบ้าเหรอ...นั่นมันวัว ดูไงเป็นม้าวะ"

มาถึงบางอ้อก็เมื่อมาเปิดดิคอีกครั้ง

อ่อ...คันจิตัวที่เรามองเป็นม้าอ่ะนะ มันคือวัวแหละ
และตัวที่เราเข้าใจมันก็คือม้าจริงๆอ่ะ แต่เป็นม้าในปี 12 นักษัตริย์

แถมมันคนละตัว...
แค่มันแอบคล้ายกัน

เหอๆ....
เราว่าผ่านไปสักปีนึง
คนแถวนี้อาจจะเบื่อในความโง่ของเราไปแล้ว
เหอๆ...

เล่าไปก็อายหว่ะ

...............................................

เอาล่ะ...จบเรื่องที่จะเล่าวันนี้แล้ว
ยังคิดถึงทุกคนเหมือนเดิม ไม่ได้น้อยลงเลย
แค่พยายามเอาเรื่องอื่นมากลบๆความเศร้าลงได้หน่อยนึง เหอๆๆๆ
แล้วเจอกันเดือนมีนาฯนะ

Thursday, December 15, 2005

ความสุขความทรงจำ...ไม่เคยลืมเลือน

บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้


เรื่องราวที่ดีก็ยังฝังใจ


บางความทรงจำเก่าๆ...ก็ยังงดงามไม่คลาย


กระจ่างอยู่ข้างในเมื่อไรที่คิดขึ้นมา


บางทียังคิดว่าเธออยู่ที่ไหน


แล้วเคยหรือไม่ที่คิดเหมือนกัน


คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ...แล้วยังทบทวนถึงมัน


สิ่งดีดีกับคืนและวันของฉันและเธอ


และยังคงยิ้ม...ยิ้มทั้งน้ำตา


ที่ผ่านไปแล้วไม่หวนคืนมาก็ไม่เสียดาย


แค่เพียงคิดถึงว่าเคยได้มี...บางครั้งก็ยังชื่นใจ


แม้จะมีเก็บไว้แค่ความทรงจำ


อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีดี


ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ


ถึงแม้ว่าเราจะห่าง...แยกคนละทางที่ไป


ก็เป็นเพียงแค่ความสุขใจเมื่อคิดถึงเธอ


อยากเก็บเอาไว้แค่เพียงสิ่งดีๆ


ถึงวันนี้มีแต่ความเหงาใจ


มีเพียงบางครั้งที่อาจจะยังสงสัย


ว่าเธอเองจะเคยบ้างไหม


"ที่คิดถึงกัน"

Tuesday, December 13, 2005

ครอบครัว...

ขอโทษนะ...
ไม่ได้มาเขียนตั้งอาทิตย์กว่า...
แต่ก็ไม่ได้ไปไหนหรอก
พอดีว่าตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมาจนถึงเมื่อวานนี้
พ่อ แม่ และพี่เรามาเยี่ยม เราก็เลยไปนอนที่โรงแรมกับเค้าด้วย

วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวกับครอบครัวเรามา

วันพฤหัส...พอมาถึงเราก็ออกไปรับที่สนามบินแถวบ้าน
แล้วก็พากันไปที่โรงแรม กลับมาที่หอเราเก็บของๆ
ตอนบ่ายเราก็ออกไปพรีเซนท์รายงานเลยบอกให้เค้าไปเดินอุเมดะกันก่อน
แล้วก็นัดเจอกันตอนสี่โมงครึ่ง โดยเราโดดคาบบ่ายคาบที่สี่ออกมาก่อน
วันแรก...ก็จบลงที่อุเมดะ เราก็กลับมานอนที่หอก่อนเพราะว่าเช้าวันต่อมาจะออกไปเรียน

วันศุกร์...
หลังจากเรียนคาบแรกเสร็จก็โดดคาบที่สองออกมา
นัดเจอกับทุกคนไว้ที่อุเมดะ...แล้วก็ไปกินข้าวเที่ยง
กินเสร็จก็เดินทางไปยังปราสาทฮิเมจิ...อีกแล้ววว
(ไม่มีรูปให้ดู...เพราะเคยเอามาลงให้ดูแล้วหนิว่ามันเป็นไง)

เสร็จจากปราสาทฮิเมจิแล้วก็นั่งรถไฟต่อมาลงที่โกเบ...
ช่วงนี้ของทุกปี ที่โกเบจะมีการประดับประดาไฟเพื่อเป็นที่ระลึก
ให้กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่โกเบเมื่อปี 1995
ชื่องานว่า Luminalia
จะบอกว่า...ไม่เสียแรง และไม่เสียดายค่ารถไฟเลยที่เดินทางมาตั้งไกล
เพื่อมาดูแค่ไฟ...แค่มันไม่ใช่แค่ไฟอ่ะนะ มันแบบว่า แอบสวยและตื่นตาตื่นใจมาก
จบจากโกเบ เราก็กลับไปเอาเสื้อผ้าที่หอกับปะป๊าแล้วก็ขนของมานอนที่โรงแรม











วันเสาร์....
ตื่นสายไปหน่อย เลยโดนหลายคนบ่น
วันนี้ตอนแรกยังไม่มีโปรแกรมจะไปไหน เพราะเมื่อวานกลับมาก็ดึกแล้ว ตันๆ
สุดท้าย ไปๆมาๆ...เพราะว่าโอซาก้าก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวเท่าไหร่
แล้วถึงแม้ว่าจะไปเกียวโตที่มีแต่วัด วัด และวัดมาหลายครั้งครั้งแล้ว
แต่ในคันไซนี่ก็คงไม่มีอะไรให้เที่ยวนอกจากเกียวโตแล้วล่ะ...
สุดท้ายก็เลยไปเกียวโต...

มื้อเที่ยงจบลงที่ชาบูชาบูสุดแพงและไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
แล้วก็ไปเที่ยวที่ปราสาทนิโจ เดินไปเดินมาที่ปราสาทประมาณสามสี่ชั่วโมง
เรารู้สึกว่าเราชอบปราสาททื่เป็นที่พักแบบนี้มากกว่าปราสาทเพื่อปกป้องบ้านเมือง
อย่างปราสาทฮิเมจิหรือปราสาทโอซาก้าเยอะอ่ะ อย่างน้อยมันก็มีอะไรให้ชื่นชมในความงามบ้าง











เสร็จแล้วตอนแรกก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วเพราะพวกวัดต่างๆหน้าหนาวมันก็พากันปิดตั้งแต่สี่โมง
เลยกะจะไปช็อปปิ้งอ่ะนะ แต่พอลงไปในสถานีรถไฟใต้ดินกลับเจอโปสเตอร์ใบหนึ่ง
ซึ่งบอกว่ามีการประดับไฟที่สาวนพฤกษชาติเกียวโต เลยไม่รอช้ารีบเดินทางไป เพราะเริ่มตอนห้าโมงครึ่ง
พอไปถึง...ก็ไม่ได้เอะใจนะว่าทำไมสวนมันปิด ก็คิดไปว่ามันยังไม่ห้าโมงครึ่งคงยังไม่เปิด
เลยไปกินอาหารอิตาเลี่ยนแถวนั้นกัน....
กินเสร็จหกโมงเย็นออกมา..อ่าวทำไมสวนยังปิดอยู่ ก็เลยไปมั่วๆอ่านป้ายคันจิอยู่พักนึง
ก็ได้ความว่า (รู้เรื่องด้วยนะ) ซึ่งบอกว่าให้ไปเข้าอีกประตูนึงโดยต้องเดินอ้อมสวนไป
ในแผนที่ก็คิดว่ามันจะไม่ไกล....
ที่ไหนได้...เดินร่วมห้ากิโลฯได้!!! ไกลมากกกกกก มีข้ามแม่น้ำไรงี้ด้วยนะ
แต่ดีนะ...พอมาถึงมันมีอะไรให้ดู ถึงแม้จะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เสียแรงเปล่า
เข้าไปดูไฟ...และพวกพืชพันธุ์ธรรมชาติต่างๆ เสร็จแล้วก็เรียกแท็กซี่กลับไปสถานี
กะว่าจะมาช็อปในตัวเมืองเกียวโตก่อน แต่ร้านรวงต่างๆก็รีบปิดหนีเรากันหมดแล้ว เฮ้อ~~


วันอาทิตย์...
วันนี้มีนัดกับ Host Family เรา ตอนเช้าเลยรีบออกจากโรงแรมไปหาซื้อเค้ก
พอซื้อเสร็จก็กลับมาที่หอเรา แล้วเค้าก็มารับ...
วันนี้พูดกันรู้เรื่องขึ้น เพราะเค้าต้องพยายามพูดให้ครอบครัวเรารู้เรื่องด้วยไง
เค้าเลยพูดภาษาไทยเยอะหน่อย เหอๆ...
ไปถึงที่บ้าน...เค้าก็จัดอาหารอย่างดี ชาอย่างดี ไวน์อย่างดีมาต้อนรับ
แถมชวนเพื่อนที่เป็นอาจารย์ใส่ชุดกิโมโนมาด้วย เพื่อจะให้เรากับแม่เรายืมชุดถ่ายรูป
อาราย...จะประเสริฐขนาดนี้

หลังจากกินเสร็จก็ใส่ชุดกิโมโนถ่ายรูปกัน
ก็เหมือนคราวที่แล้วอ่ะ...ใส่นานมากกกกก
แต่คราวที่แล้วที่เราใส่ที่หอจำได้เปล่า อันนั้นเค้าให้ชุดแบบเป็นปลายเสื้อสั้น
ซึ่งเป็นชุดของผู้หญิงแต่งงานแล้วมาใส่
ส่วนคราวนี้เค้าให้ชุดของลูกสาวเค้าให้เราใส่...เป็นชุดปลายแขนเสื้อยาวเกือบลากพื้น
สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน...และใส่นานกว่าอีกชุดนึงอีก

หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปๆๆๆๆ....
แล้วก็ออกไปเดินอุเมดะกันอีก...เดินจนหมดวันแล้วก็กลับโรงแรม

คืนวันนี้เศร้า...อย่างสุดซึ่ง
ไม่อยากให้เค้ากลับไปกันเลย
ทำไมว้า...ช่วงเวลาแห่งความสุขมันผ่านไปเร็วแบบนี้
อยากจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้ากันแบบนี้อีก...
อยากกลับบ้าน

เช้าวันจันทร์....ถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว
เราไปส่งทุกคนตรงทางขึ้นรถลิมูซีนบัส...
ไม่อยากให้กลับไปกันเลย..อยากอยู่ด้วยกันนานๆกว่านี้

หลังจากวินาทีนี้เราต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว
เราคงไม่ได้มีความสุขแบบนี้อีก...คิดแบบนี้แล้วมันก็อดเศร้าไม่ได้

จะบอกว่า...
นาทีแรกที่เห็นทุกคนมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเราแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
คิ ดถึงมาก....
ความเหงาทั้งหมด ความเศร้า เบื่อ ทุกอย่าง หายไปหมด
เมื่อครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน....

แต่พอเวลาต้องจากกันมาถึง...ก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกเช่นกัน
ทั้งๆที่รู้ว่าการจากกันครั้งนี้มันเป็นการจากกันที่ไม่นาน
เพราะเดือนมีนาฯเราก็จะกลับไป...

แต่มันก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย

อยากกลับบ้าน....

คิดถึงบ้าน...

Tuesday, December 06, 2005

งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา กินฟรีกันอีกแล้วค่ะ

สวัสดีจ้าทุกคน
เมื่อวานวันพ่อเป็นยังไงกันบ้าง....
ได้หยุกยาวกันเลยอ่ะดิ ไปเที่ยวไหนกันมาหรือเปล่า
มาเล่าให้ฟังกันบ้าง

ส่วนเรา...ก็ไม่ได้หยุดหรอกนะ (มันจะไปหยุดได้ไงหว่า...)
ก็ตอนเช้าออกไปเรียนตามปกติ
ต้องแงะตัวเองออกจากเตียงตั้งนาน
ชักเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่หอแล้วต้องออกไปเรียนเองซะแล้วสิ เหอๆๆๆ

เดินออกไปจากบ้าน....
บรื๋อ~~ ทำไมมันหนาวเยี่ยงนี้
แล้วความคิดนึงก็ผุดขึ้นมา
อ่อ...วันนี้อุณหภูมิต่ำสุด 1 องศานี่นา...และอาจจะมีหิมะตก
เหวอออออออ เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วจริงๆด้วยน้าาา

ก็ไปเรียน...เรียน...เรียน


เย็นวันนี้..ทางสถานกงศุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า ก็ได้จัดงานให้เรากินฟรีอีกแล้ว
จริงๆแล้ว เค้าจัดงานให้ไปถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมฯอ่ะนะ
แต่เนื่องจากเรา...ไปไม่ทัน

เพราะ...
ขึ้นรถไฟผิด -_-"
เราคนเดียวเลยอ่ะ คือนักคนอื่นไว้หกโมงเย็น เราไปถึงก็หกครึ่งแล้ว
เนื่องจากเปลี่ยนรถไฟตามสัญชาติญาน แล้วดันไม่มองป้ายก่อนว่ามันจะไปไหน
เหอๆๆๆ....ดีนะที่ไหวตัวทัน ไม่งั้นไปโผล่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

งานวันนี้จัดที่โรงแรม New Otani Osaka ตั้งอยู่แถวๆปราสาทโอซาก้า
ระหว่างทางที่เดินไปโรงแรมถึงแม้ว่าจะมีลมพัดทำให้หนาวหน้าชาไป
แต่ก็ยังคงมีอารมณ์มองไปดูปราสาทโอซาก้ายามค่ำคืนได้แว่บนึง
แล้วก็ต้องรีบๆเดินไป เพราะหนาว และกลัวไปกินไม่ทัน












รูปบรรยากาศภายในงาน

ไปถึงก็ไม่มีพูดพร่ำทำเพลง...
เพราะท่าทางว่าเค้าจะเริ่มกันไปสักพักใหญ่แล้ว
ต่อจากนี้ขอบรรยายด้วยรูปภาพ จะได้ยั่วน้ำลายกัน เหอๆๆ
















เริ่มด้วยอาหารฝรั่ง












ต่อมา...ส้มตำที่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ เพราะเน้นที่รสจืดมากกว่ารสสอร่อย แต่เอาหน่า..พอถูไถ ถึงแม้จะอร่อยเป็นแค่ 3% ของร้านป้าแดงก็เหอะ เหอๆๆ

ต่อมาเค้ก...อาจจะหน้าตาดูน่าสะพรึงกลัวไปหน่อย เพราะว่าใช้พลังกาย และแรงอึดในการรอที่จะได้เค้กกินร่วมสิบนาที พอตึกมามันก็เลยออกมาเละๆงี้แหละ กลัวตักไม่ทันชาวบ้านเขา เหอๆ...แต่เห็นหน้าตาเละๆอย่างงี้อ่ะ เค้กโรงแรมนะเธอ อร่อยมากกกกกกก จนต้องส่งตัวแทนไปเอามาอีกรอบสอง

โอเค...จบเรื่องของกิน
เพราะวันนี้เรามาถวายพระพรช่ายมะ มะได้มากิน เข้าใจป่าวววว อย่าเข้าใจผิด
พอใกล้เลิกงาน สมาคมนักเรียนไทยก็มาถ่ายรูปร่วมกันบริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์

รูปนี้เป็นนักเรียนไทยในโอซาก้า ที่ถ่ายรวมๆไม่มีอ่ะ เพราะเกรงใจคนที่เค้าถ่ายให้ เพราะท่าทางจะมีเป็นสิบกล้องแล้ว อีกอย่างสงสารตัวเอง ไม่ได้นั่งพับเพียบมานาน เกือบเป็นตะคริว เหอๆๆๆ

หลังเลิกงาน...เหนื่อยมาก
ไม่ใช่เพราะกินเหนื่อยนะ แต่เป็นเพราะว่าวันนต้องเดินขึ้นเขากลับบ้าน
ซึ่งถึงแม้จะเป็นทางเดิมที่เดินเกือบทุกวัน แต่ด้วยรองเท้าบูทส้นสูงที่ใส่มาตั้งแต่แปดโมงเช้า
เริ่มจะดื้อกับเราแล้ว ทำให้การปีนเขาวันนี้เป็นไปได้อย่างเชื่องช้า และปวดเท้ามากกกก

แต่อย่างไรก็ดี ขอบคุณนะคะที่จัดงานให้คนไทยได้มามีกิจกรรม (การกิน) ร่วมกันอีกครั้ง อิอิ

..............................

อาจจะช้าไปหนึ่งวันแต่ว่าหวังว่าจะยังไม่ช้าเกินไปที่จะบอกว่า

"สุขสันต์วันพ่อนะคะปะป๊า"

ปีนี้เป็นปีแรกที่โบว์ไม่ได้อยู่กับปะป๊าในวันพ่อ
คิดถึงปะป๊ามากๆเลยค่ะ