zz *Bow's Journey Under the RainBow*: Laos Trip! เวียงจันทน์ - วังเวียง - หลวงพระบาง

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Tuesday, March 21, 2006

Laos Trip! เวียงจันทน์ - วังเวียง - หลวงพระบาง

สวัสดีมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน
ขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทไดอารี่เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์

แต่หลังจากหายไปนานทำให้มีเรื่องมาเล่าเพียบเลย

ก็เพราะว่าพอดีตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เปิดสวิทซ์นักเดินทาง
มุ่งหน้าไปเที่ยวลาวดังที่ได้วางแผนไว้กว่าสองเดือน

อ่อ...มีรูปมาให้ดูเพียบเลยด้วย
นี่คัดเลือกรูปนานมากนะกว่าจะเหลือรูปเท่าที่จะได้ดูกันนี้
เพราะถ่ายรูปกันมาอย่างเต็มพิกัด

ไปกันสี่คน..จะมีบางรูปที่ถ่ายมุมเดียวกันเยอะมาก ฮ่าๆๆๆ

สมาชิกทริปนี้คือเรา พี่ใหม่ พี่น็อต และพี่ต้น

พร้อมจะออกเดินทางไปพร้อมกับเราหรือยัง
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย..เย้!

.......................................................

คืนวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม..
ออกเดินทางออกจากกรุงทพฯ มุ่งหน้าไปยังหนองคาย
ด้วยรถไฟสปินเตอร์ เดินทางออกจากหัวลำโพงเวลาสามทุ่มตรง


.......................................................................

ถึงจังหวัดหนองคายเมื่อเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันที่ 13 มีนาคม


หลังจากนั้นก็ไม่รอช้ารีบขึ้นตุ๊กๆต่อเพื่อจะไปให้ทันรถ international bus
เพื่อข้ามฟากไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งจะออกรถเมื่อเวลาประมาณ 8 โมง

เมื่อจองตั๋วรถเสร็จแล้ว กินข้าวเช้าเสร็จสรรพ ก็ขึ้นรถข้ามสะพานมิตรภาพ
ซึ่งพาดผ่านแม่น้ำโขงไปยังเวียงจันทน์ทันที


พอไปถึงเวียงจันทน์ก็ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
และ...เรื่องสำคัญที่สุดคือการแลกเปลี่ยนเงินตราจ้า

ซึ่ง..ตอนหลังก็แอบงงๆว่าจะแลกทำไม
เพราะเวลาไปซื้อของทีไร เค้าจะคิดเป็นเงินบาทก่อนที่จะบอกเป็นเงินกีบทุกครั้ง
เหอๆๆๆ...แอบงง คือไม่ต้องแลกก็ได้อ่ะ จ่ายเป็นเงินบาทไปก็ได้
แต่ก็อย่างว่า..บางทีจ่ายเป็นเงินกีบมันจะถูกกว่านิดๆหน่อยๆ

อ่อ..แล้วทุกคนในทริปนี้ก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสเงินล้านเป็นครั้งแรกในชีวิต อิอิ
เพราะราคาเงินกีบต่อเงินบาทคือ 1 บาท = 265 กีบ

โดยเฉพาะหนุ่มคนนี้..ท่าทางดีใจกับการได้สัมผัสเงินล้านมาก


พอถึงเวียงจันทน์ได้ไม่นาน...
ก็ต้องนั่งรถต่อไปยังวังเวียงทันที เพื่อจะให้ถึงวังเวียงในตอนบ่ายๆของวันนั้น

นั่งรถมินิบัสแอกี่ สั่นๆโคลงๆไปประมาณสามชั่วโมง
แล้วก็ถึงวังเวียงโดยสวัสดิภาพ

ขนของสัมภาระไปยังที่พักริมน้ำ บรรยากาศดีมาก
แต่ห้องพักพวกเราไม่ได้อยู่ริมน้ำนะ คือเอาราคาถูก แล้วเน้นเดินไปริมน้ำเอง ฮ่าๆๆ

เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ออกเที่ยวเลย..
เหมาสองแถวไปเที่ยวยัง "ถ้ำจัง"

ในอดีตในถ้ำไม่มีไฟฟ้า เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำศักดิ์สิทธิ์
หากใครไปทำอะไรไม่ดีในถ้ำจะเกิดอาการจังงัง มือเท้าหงิกงอเหมือนเป็นง่อย
แต่ภาษาลาวเรียกว่าอาการจัง ชาวบ้านจึงเรียกถ้ำนี้ว่าถ้ำจัง

ก่อนจะเจอถ้ำเราจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำซองสีส้มสดใส
ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำซองได้จากมุมนี้


หลังจากเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำซองมาแล้ว
เราต้องปีนบันไดขึ้นไปอีก 147 ขั้นกว่าจะเจอถ้ำ
ตอนนั้นมีแอบหอบแฮ่กๆเหมือนกัน เหอๆๆ

แต่พอไปถึงถ้ำแล้วก็หายเหนื่อย
ไม่ใช่เพราะว่ามันสวยอะไรมากมายหรอกนะ
แต่อากาศมันเย็น ฮ่าๆๆๆๆ


เสร็จจากถ้ำจัง ก็เย็นมากแล้ว
ก็เลยนั่งรถสองแถวคันเดิมเข้าไปยังตัวเมืองวังเวียง
เพื่อไปจองโปรแกรมทัวร์ พายเรือคายัคเที่ยวเมืองในวันพรุ่งนี้

ตบท้ายด้วยอาหารลาวสุดแซ่บในร้านที่ออกจากดูตกแต่งไว้เพื่อนต้อนรับชาวต่างชาติ
(คือ..จะหาร้านที่ไม่มีภาษาอังกฤษเลยไม่ได้เลยนะ
เพราะเดินไปทางไหนก็เจอแต่ฝรั่งเดินเต็มเมืองไปหมด ยังกะพัทยา..)
อ่อ..แล้วอะไรรู้ป่ะ
เรานั่งดู the Simpsons ไปไม่รู้กี่ตอนระหว่างที่นั่งจกข้าวเหนียวอยู่

โคตรได้บรรยากาศลาวเลย ฮ่าๆๆๆ

..................................................

เช้าวันอังคารที่ 14 มีนาคม..
ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปออกกำลังกายในคราวนี้

ออกจากที่พักเวลา 9 โมงเช้า
แล้วก็ไปเที่ยวถ้ำกันก่อน ชื่อว่า "ถ้ำช้าง"
โดยรถสองแถว โดยมีผู้ร่วมทางชาวอเมริกัน 1 คน และเยอรมันอีก 2 คน


ภายในภ้ำช้างเป็นที่ตั้งของพระธาตุที่สร้างขึ้นในปี 2511
และหินธรรมชาติที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายช้างตั้งเดินอยู่ด้านขวาของถ้ำ
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำและหมู่บ้านในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นก็เตรียมตัวเปียกกันได้เลย
เพราะเราจะเดินทางไปยัง "ถ้ำน้ำ"

ถ้ำน้ำเป้นถ้ำที่ต้องใช้ห่วงยางและเกาะเชือกกล่องเข้าไป
โดยมีไฟฉายที่ติดบนหัวอยู่เป็นแสงส่องนำทาง
ภายในเป็นอุโมงค์สูงๆเหมือนถ้ำอื่นๆ

แต่จะบอกว่ามันไม่ได้เกาะเชือกเข้าไปอย่างเดียวอ่ะดิ
มันมีมุมนึงที่เชือกมันหมด ทำให้ต้องตะกุยน้ำเข้าไปเอง

แล้ว..ขจีภรณ์จะรอดเหรอ ฮ่าๆๆๆ
ตรงจุดนี้สงสัยพี่คนที่เป็นไกด์เค้าจะสงสาร (หรือสมเพชไม่รู)
เข้าเลยเอาเท้าเค้ามาคีบเท้าเรา แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทำไรเลย
ลอยตุ๊บป่องๆไปเรื่อย เหอๆๆๆ สบายจริง

หลังจากเปียกกันที่ถ้ำน้ำแล้ว
ชาวทริปก็เดินไปกินข้าวที่ทัวร์เตรียมไว้...

ซึ่ง...
เห่ยมาก ไม่อร่อยเลย
แต่อาศัยว่าวันนั้นที่หมู่บ้านถ้ำช้างเค้ามีงานบุญพอดี
เลยไปขอข้าวปุ้น (ขนมจีน) ชาวบ้านมาปะทังความรู้สึกดีๆของอาหารลาวได้ต่อไป หุหุ

หลังจากกินข้าวเสร็จก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายกัน..
อย่างที่บอกว่าวันนี้จะมีพายเรือคายัคเทียวแม่น้ำซองกัน

ตอนนั้นพี่ต้นถามว่าใครจะคู่ใคร..เพราะเรือมันเป็นคู่
เราก็บอกว่า...ขอคู่คนที่แรงเยอะๆ

ความซวยจึงตกมาอยู่กะพี่น็อตทันที ฮ่าๆๆๆ
หลังจากนั้นพี่น็อตก็บอกว่า ไปพายเรือกะใครทีไร อีกคนนึงจะต้องนั่งเป็นคุณนายทุกที
ซึ่งคราวนี้ก็ไม่วายจะเป็นอย่างนั้น.... ฮ่าๆๆๆ

แต่ขอบอกว่าเราไม่ได้กินแรงเลยนะ
เราพายตลอดดดดดดด ตลอดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แต่ไม่รู้เป็นตัวถ่วงเพราะพายผิดหรือเปล่า เหอๆๆๆ


ระหว่างพายๆเรือไปก็มีจุดพักผ่อนด้วย
แต่ก็ไม่วายเป็นที่ตอนรับชาวต่างชาติเช่นเคย
มีแต่ฝรั่ง เปิดเพลงฝรั่ง และกินเบียร์

หนุ่มฝรั่งก็ถอดเสื้อตีวอลเล่ย์ เตะตะกร้อกันไป
สาวฝรั่งก็มือถือเบียร์ แล้วก็เต้นตามเพลงกันไป

โคตรรรรร....ฝรั่ง
นี่มันประเทศอะไรกันเนี่ยยยยยยย!!! จอร์จจจจจ!!!!

หลังจากนั้นก็พายเรือกันต่อ...
และก็กลับถึงฝั่งเวลา 5 โมงเย็น

อาบน้ำอาบท่า หาอาหารลาวกิน แล้วก็กลับไปนอนสลบที่ที่พัก

...................................................................

วันพุธที่ 15 มีนาคม....
วันนี้ต้องออกเดินทางไปยังหลวงพระบางแต่เช้า

ทานเช้าข้าวที่ที่พัก บอกลาลุงป้าที่พูดไทยเป็นไฟ อังกฤษเป็นไฟ และฝรั่งเศสเป็นไฟ
แล้วก็ออกจากที่พักเวลา 9 โมงเช้าด้วยรถตู้

ระหว่างทางที่เดินทางไปหลวงพระบางนั้น...
ใครที่เมารถง่ายๆขอแนะนำว่าอย่าไปเลยยยยย
เพราะขนาดเราว่าเราเป็นคนไม่เคยเมารถมาก่อนเลยในชีวิตนี้
ยังเมาแทบตายยยยย

การเดินทางไปหลวงประบางจางวังเวียงใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมง
บนเส้นทางที่เป็นหุบเขา และมีโค้งทั้งสิ้นแปดร้อยเจ็ดสิบหกโค้งได้ (อันนี้มั่วเอานะ เหอๆๆ)
เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการพยายามหลับไปตลอดทาง

อ่อ...และได้มีประสบการณ์เข้าห้องน้ำธรรมชาติกลางป่าเขาก็ครั้งนี้แหละ เหอๆๆ

ถึงหลวงพระบางตอนบ่ายแก่ๆแล้ว
ชาวทริปก็พากันแบกเป้เพื่อเดินทางหาที่พัก
เนื่องจากจองไว้ แต่ว่ามันไกลมากกกก เลยกะหาเอาใหม่เลยดาบหน้า
ซึ่งมันก็ทำได้แหละ เพราะทั้งเมืองมันมีแต่ guest house เต็มไปหมดเลย
แต่ราคาก็แตกต่างกันไป ที่สวยๆหน่อยก็แพงหน่อย
เจอที่นึงสวยมาก $50 !!!! เลยจบท้ายที่บ้านพักราคา $9 เหอๆ ช่างต่างกัน

หลังจากได้ที่พักแล้วก็เดินกันต่อเลย
โดยสถานที่แรกที่จะไปในหลวงพระบางนี้ก็คือ "ภูษี" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "พระธาตุจอมษี"

นอกจากภูษีจะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองหลวงพระบางแล้ว
ด้านบนยังเป้ฯที่ตั้งของพระธาตุจอมษี พระธาตุองค์เล็กๆแต่โดดเด่นด้วยประกายสีทอง
ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมปิดทองทั้งองค์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
ยอกประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูง 21 เมตร


และเราก็อยู่พระอาทิตย์ตกเย็นวันนั้นที่บนภูษีนี่แหละ
...รวมถึงมีเพื่อนร่วมดูพระอาทิตย์ตกที่นี่เป็นชาวต่างชาติอีกหลายสิบคน -_-"


หลังจากชมพระอาทิตย์ตกกันแล้ว
เดินลงมาข้างล่างภูก็จะพบกับ "ตลาดมืด"
เอ่อ..ไม่ใช่ตลาดขายของผิดกฎหมายนะ
(ตอนแรกเราก็คิดยังงั้นแหละ เหอๆๆๆ)

แต่ว่ามันคือตลาดที่ชาวบ้านจะเอาของพื้นมือมาตั้งขายกัน
เหมือน walking street ที่สีลมเมื่อหลายปีที่แล้ว
จะว่าไป..ก็อยากให้มี walking street แบบนั้นอีกเน๊อะ

ก็ได้ของติดไม้ติดมือกันไปคนละนิดละหน่อย
สินค้าที่เอามาขายส่วนมากมันก็ซ้ำๆกันน่ะ เช่น ผ้าไหมลาว เสื้อตัวอักษรลาว
เครื่องเงิน ของเก่าต่างๆ ของจากชาวเขา ฯลฯ

ซึงอย่างที่บอกร้านประมาณ 100 ร้าน แต่มีของขายประมาณ 10 อย่าง
ทำให้บางที่แอบเจ็บใจที่ซื้อของมาแพงกว่าร้านที่ไปถามราคาในตอนหลัง

ตอนนี้เองทีได้รู้จักกับน้องคนลาวชื่อ "น้องขาว" โดยบังเอิญ
โดยน้องขาวอาสาว่าวันพรุ่งนี้จะซื้อข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตรตอนเช้ามาให้
และยังจะพาเที่ยวเมื่อเลิกเรียนในเวลาเที่ยงพรุ่งนี้อีกด้วย

...............................................................

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคมเวลาเช้าตรู่...
ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อมารอพระ..

เคยอาจจะได้ยินกันมาบ้างแล้ว
ว่าที่หลวงพระบางนี้มีประเพณีใส่บาตรที่มี่ชื่อเสียงมาก
เนื่องจากจะมีพระกว่า 200 รูปเดินแถวมาให้ใส่บาตร
และของที่นำมาใส่บาตรกันก็คือข้าวเหนียวนั่นเอง

ซึ่งชาวทริปก็ต้องคั้งสมาธิอยู่กับการจกข้าวเหนียวมากๆ
ว่าได้ว่าต้องกำหนดลมหายใจอยู่ที่การปั่นข้าวเหนียวและการใส่ข้าวเหนียวในบาตรพระเลยทีเดียว
เพราะท่านย่างไวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

พอใส่หมดแล้วก็เมื่อยแขนทันที...
อ่อ.. วันนี้มีพระมามากเป็นพิเศษนะ เพราะว่าเมื่อวานนี้กษัตริย์เขมรเสด็จมาที่หลวงพระบางพอดี
เราก็ทันได้เห็นขบวนรถท่านด้วยนะ ไม่ทันได้เห็นท่าน แต่มีคนบอกว่าท่านหล่อมากกกกก
เป็นนักบัลเลต์ด้วย เรียนจบจากฝรั่งเศสอีกตะหาก

พอๆๆๆๆ เข้าเรื่องต่อ...

หลังจากใส่บาตรเสร็จก็ไปเช่าจักรยานกัน...
แล้วก็บังเอิญได้เจอที่พักใหม่ ที่ราคาเท่ากัน แต่สะอาดกว่ามาก
เลยขนของสัมพาระย้ายออกมาจากที่เก่า ย้ายเข้าที่ใหม่ทันที

สถานที่แรกที่จะปั่นกันไปวันนี้คือ "วัดเชียงทอง"

วัดเชียงทองสร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี 2102-2103
หลังจากสร้างวัดนี้ได้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์
แต่วัดนี้ยังได้รับการอุปถัมป์ดูแลจากเจ้าชีวิตสว่างวงศ์และเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาวก่อนการปฎิวัตินั่นเอง

ที่เห็นอยู่นี่คือพระอุโบสถ หรือที่ภาษาลาวเรียกว่า "สิม"
แม้จะดูไม่ใหญ่โตนักแต่แสดงถึงศิลปะทางศาสนาแบบหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี
ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ส่วนกลางของหลังคามีช่อฟ้าสีทอง
ประกอบกันทั้งหมด 17 ช่อ อันหมายความว่าเป็นสิมที่มหากษัตริย์สร้างขึ้น
เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า
ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี "โหง่" รูปร่างคล้ายเศียรนาค
เป็นส่วนประดับทางคติธรรมทางพุทธศาสนา

ต่อมา...เราก็ถีบจักรยานไปตามถนนย่านเมืองเก่าของหลวงพระบาง
ตามถนนจะเห็นสถาปัตยกรรมบ้านเมืองซึ่งมีรูปแบบผสมผสานศิลปะแบบลาว
และแบบฝรั่งเศสซึ่งได้รับอืทธิพลมาจากยุคอาณานิคมนั่นเอง

และเราก็ได้ไปเที่ยววักอีกร่วมสิบวัดได้...
จนตอนหลังๆก็เริ่มเบื่อวัด จนต้องเข้าวัดเว้นวัดแทน เหอๆๆ
อ่อ..ลืมบอกไป ที่หลวงพระบางนี้มีวัดทั้งหมดร่วม 40 วัด
ทำให้ปั่นจักรยานไปทางไหนก็ต้องเจอวันติดๆๆๆกันไปหมด

เวลาเที่ยงวันน้องขาวก็มา...
เราก็เลยถีบจักรยานไปเที่ยวกันต่อ...
เริ่มจากกินข้าวเที่ยง และถีบจักรยานต่อไปยัง "บ้านผานม"
ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวบ้านที่ทอผ้าไหมกันทั้งหมู่บ้านเลย

ทางไปบ้านผ้านม..ไม่รู้ทำไม ทางถนนใหญ่ๆยังถีบสบายๆอยู่เลย
ทำไมเงินทุนทำถนนมันมาไม่ถึงที่นี่วะ...
คือเป็นลูกรัง ขึ้นเนินลงเนิน และฝุ่นคลุ้งตลอดเวลา

ให้นึกถึงความรู้สึกการอยู่บานเครื่องสลายไขมันนะ
สั่นๆๆๆๆๆๆๆๆ ตลอดเวลา สองจะไหลออกมาทางปากอยู่แล้ว

จนในที่สุด....
โครม~!!!!!!
ล้มจนได้...
แต่ยังยิ้มสู้ ถึงแม้จะมีฝรั่งที่ผ่านมาแถวนั้นทำหน้าตกใจอย่างแรง เหอๆๆ

แล้วก็มาถึงบ้านผานม แต่เราแอบผิดหวังนะถีบกันมาตั้งหลายกิโลฯ
แต่ก็เจอผ้าไหมที่หาซื้อได้ที่ตลาดมืด หนอน ใบหม่อน เท่านั้น...
แต่ก็ยังดีที่มีการสาธิตการทอผ้าด้วย...
ซึ่งทำให้หลายๆคนรู้สึกผิดที่ไปต่อราคาเค้าแทบตายตอนซื้อผ้าเมื่อคืนนี้ เหอๆๆ

หลังจากออกจากบ้านผานมก็ไปวัดอีกหนึ่งวัด
และก็ถีบกลับเข้าเมืองมายัง "วัดวิชุลราช"

วัดวิชุลฯเป็นที่ตั้งขจองพระธาตุหมากโมซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง
ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ ที่มาของชื่อพระธาตุหมากโมมาจากการที่ชาวหลวงพระบาง
เห็นรูปทรงของเจดีย์คล้ายรูปแตงโมผ่าครึ่ง ยอกพระธาตุมีลักษณะคล้ายเปลวไฟ
บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงดอกบัวตูมทั้งสี่มุม


หลังจากออกจากวัดวิชุลฯแล้ว ก็ขอเวลานอกกลับไปทำแผลที่ได้จาก
ขักรยานล้มที่ที่พักสักแป๊บ แล้วก็ปั่นจักรยานกันต่อไปยังสถานที่ที่น้องขาวแนะนำ
และเป็นที่ที่เมื่อไปถึงแล้วพี่น็อตเรียกว่า Unseen in Luanprabang เลย

หลังจากปั่นจักรยานไปประมาณครึ่งชัวโมง
เราก็มาพบกับ...ไร่แตงโม!!! ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงนี่เอง

นอกจากเราจะได้กินแตงโมสดๆ (ร้อนๆ) จากไร่แล้ว
เรายังได้ดูสถานที่ที่เรียกว่าทะเลเมืองลาวอีกด้วย

หลายๆคนที่เรียนภูมิศาสตร์มาคงรู้ใช่ไหมว่าลาวไม่มีทางออกทะเล
เพราะฉะนั้นที่ๆเราจะพาไปไม่ใช่ทะเลแน่นอน แต่เป็นชายหาดริมน้ำโขง

ที่บอกว่า Unseen นี่ก็เพราะว่าเป็นที่ที่แรกที่ชาวทริปไป
แล้วไม่เจอฝรั่งเลยสักคน...อิอิ


หลังจากนั้นเราก็จบวันนี่ก้อยตลาดมืดอีกเช่นเคย...

.....................................................................

วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม...
ตื่นเช้ามาใส่บาตรอีกเช่นเคย
แต่วันนี้ตื่นสายกว่าเดิมหน่อยทำให้เกือบไปใส่ไม่ทัน
และทำให้ข้าวเหนียวเหลือเพียบ...กินกันเอง ฮ่าๆๆ

เดินทางไปยังตลาดเช้า
ซึ่งก็คือตลาดสดนั่นแหละ..
แต่ที่แตกต่างจากตลาดสดในกรุงเทพฯ คือ..
มีสัตว์ป่าสดมาขายมากมาย เช่น กระรอก และนกฮูก...น่าสงสารมาก

แล้วเราก็มีโอกาสได้ลิ้มรส...โอวัลตินซึ่งมีส่วนผสมเกือบ 40% เป็นนมข้นหวาน
จากร้านชื่อดังที่ไปเจอโดยบังเอิญ คือร้านประชานิยม

ดูนมข้นสิ...
มิน่าล่ะ ชั้นถึงอ้วนกลับมา~ กว๊ากกกก~!

จบท้ายทริปที่หลวงประบางด้วย "พระราชวังหลวงพระบาง"
ซึ่งภายในยังเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง" อีกด้วย

พระราชวังหลวงพระบางออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส
เป็นหมู่อาคารชั้นเดียวตั้งอยู่บนพื้นยกสูง หลังคามุงกระเบื้อง
เป็นการผสมผสานระหว่างความงามของตัวอาคารแบบฝรั่งเศส
กับศิลปะแบบล้านช้างในตัวพระราชวังได้อย่างลงตัว
ด้านนอกอาคารเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์
ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญ

เจ้าชีวิตศรีสว่างวงศ์ประทับอยู่ที่พระราชวังหลวงพระบางจวบจนสิ้นพระชนม์
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2518
พระราชวังหลวงพระบางได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์
ซึ่งภายในเราจะได้เห็นห้องต่างๆ เช่น น้องปรรทม ห้องฟังธรรม ห้องรับแขก
ท้องพระโรง ฯลฯ รวมถึงของกำนัลที่ชาติต่างๆนำมาถวายให้เจ้าชีวิตอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุกคือหอพระบาง ที่เป้ฯที่ประดิษฐานของพระคู่บ้านคู่เมืองของ
เมืองหลวงพระบาง นั่นคือ พระบาง ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมสมัยหลังบายน
อยู่ในท่าประทับยืนบางประทานอภัยทั้งสองพระหัตถ์ หรือปางห้ามสุมทร
หล่อขึ้นด้วยทองคำบรสุทธิ์เกือบทั้งองค์ มีน้ำหนัก 54 กิโลกรัมนั่นเอง


เมื่อเราชมพิพิธภัณฑ์แล้ว...ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลาหลวงพระบางกันซะที
เราจ้างรถสองแถวออกจากที่พัก เพื่อมุ่งหน้าไปที่สนามบินหลวงพระบาง
นั่งเครื่องบินสายการบินลาว ไปลงที่เวียงจันทน์

ถึงเวียงจันทน์ตอนบ่ายแก่ๆ เราก็ต้องรีบๆ เที่ยวชมสถานที่สำคัญสองที่ในเวียงจันทน์
เพราะว่ากลัวว่าจะไม่ทันรถ international bus รอบห้าโมงเย็น

และสองที่นั้นคือ..

"ประตูชัย" (ที่รูปออกเป็นสีฟ้าๆ เพราะถ่ายออกมาจากแท็กซี่น่ะนะ..ฟิล์มน่ะที่สีฟ้า)
ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2512 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงประชาชนชาวลาว
ผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์

และ...

"พระธาตุหลวง" ซึ่งถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เป็นเจดีย์ที่โดดเด่นที่สุด
ในอาณาจักรล้านช้างมาตั้งแต่ในสัมยสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า
พระธาตุหลวงแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษญานของพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

....รีบๆๆๆ ออกมาจากพระธาตุหลวง ก็พบกับความผิดหวัง
เนื่องจากรถบัสที่จะวิ่งตรงจากเวียงจันทน์ไปอุดรฯนั้นเต็มเสียแล้ว

ชาวทริปจึงต้องเดินทางหลายต่อ เริ่มจาก...
รถเมล์หวานเย็นไปลงที่ชายแดน
จากชายแดนไปหนองคายด้วยรถเก๋งรับจ้าง
จากหนองคายไปอุดรฯด้วยรถทัวร์

ซึ่งได้เจอกับพี่สาวคนหนึ่งที่ป้ายรถบัส คุยๆกันเล็กน้อย
ตอนอยู่ในรถบัสก็มีคนยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เรา
พร้อมกับบอกว่า...มีโทรศัพท์มาหา

งงสิคะ...
มันจะมีโทรศัพท์มาหาเราในโทรศัพท์คนอื่นได้ไงหว่า
ใครมันจะไปรู้ว่าเราอยู่บนรถทัวร์คันนี้ งงๆ

สรุปว่า...คือพี่สาวคนนั้นที่เจอที่ป้ายรถบัสนั่นเอง
พี่เค้าลืมโทรศัพท์ไว้บนรถ...เลยนัดเจอกันที่อุดรฯ

เมื่อพี่เค้ามาถึงเค้าก็ขอบอกขอบใจพวกเราเป็นการใหญ่
แถมยังเสนอที่พักด้วยเมื่อจะกลับมาหนองคายอีกครั้ง

ฮ่าๆ...ดวงดีจริงจัง

หลังจากนั้น..ชาวทริปก็เดินทางกันต่อ
รถตู้ไปสถานบินอุดรฯ
แล้วก็ขึ้นเครื่องบิน air asia กลับมา ถึงกทม.เวลาห้าทุ่มกว่า

(มีแอร์ไว้ทำไมไม่รู้สายการบินนี้..ตอนลงจากเครื่องไม่มีขอบคุณ ไม่มีไหว้
ไม่มีอะไรเลย...อ๋อ หรือว่าเอาไว้เป็นแค่พนักงานขายโค้กกระป๋องละ 50 บาทเท่านั้นหว่า)

........................................................................

จบแล้วค่ะทริปลาวครั้งนี้
เจอเรื่องตลก ประหลาด ดวงดี ดวงซวย เจ็บตัวหลายครั้ง

แต่ก็คุ้มค่ะ...กับเงินไม่ถึง 8,000 บาทที่เสียไป
กับวันห้าวันที่คุ้มค่าที่ สปป.ลาว

สุดท้าย...
ขอบคุณพี่ใหม่ พี่น็อต พี่ต้น เพื่อนร่วมทางที่แสนวิเศษค่า

สะบายดี
พบกันใหม่โอกาสหน้าเด้อ~

ปล. อยากรู้ว่าเรากินอะไรไปบ้างตลอดทริปนี้ เชิญเข้าชมได้ที่กระทู้นี้นะ
แล้วจะรู้ว่าทำไมเราถึงอ้วนกลับมา ฮ่าๆๆๆ
http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J4213746/J4213746.html

7 Comments:

Anonymous Anonymous said...

โอย ยาวมาก
ดูน่าไปดีนะแก
ไว้ไปเที่ยวกัน

จะบอกว่า สัมภาระ สะกดอย่างนี้นะจ๊ะ 55

12:18 AM  
Blogger *BoW* said...

ไปแก้คำผิดคำที่แกบอกมาแล้ว..
ฮ่าๆๆๆ จะไม่มีใครเห็นว่าเราโง่ยกเว้นอิง

12:18 AM  
Anonymous Anonymous said...

มี Simpsons ด้วย อยากดูใจจะขาด
อยากสัมผัสเงินล้านบ้างจัง - -
ชอบรูปไร่แตงโมมาก ชุดเข้ากับสีแตงโมพอดีเลย 555

take care
เปนห่วงนะ -_-

12:18 AM  
Anonymous Anonymous said...

Sounds very fun trip na ja. If I will go to Laos will ask advice from you la... But will not be in the near future... 'cuz you know that I'm stuck in US... 55 5 55 55

12:18 AM  
Anonymous Anonymous said...

คายักอ่ะ พี่นั่งเป็นคุณชายแทนต่างหาก ฮ่าๆๆ ล้อเล่น
คนละไม้คนละมือ หนุกดีครับทริปนี้

12:18 AM  
Anonymous Anonymous said...

แวะมาบอกว่าได้อ่านแล้วล่ะ ยังไม่มีปัญญาอัพของตัวเองเลยเนี่ยะ.. ฮือ ฮือ

12:19 AM  
Anonymous Anonymous said...

อยากไปมั่ง

ยังพิมพ์ผิดเพียบเลยนะ

12:19 AM  

Post a Comment

<< Home