zz *Bow's Journey Under the RainBow*: September 2005

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Friday, September 30, 2005

วันแห่งการเดิน..

โอยเมื่อย...
ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมจะต้องซื่อของแต่งบ้านมามากมายทั้งๆที่บ้านก็เล็กนิดเดียว -_-"

เข้าเรื่องดีกว่า...
วันนี้ตื่นแต่เช้า ทั้งๆที่เมื่อคืนนั่งคุยเอ็มถึงดึกดื่น
จริงๆแล้วเราไม่ต้องไปแต่เช้าหรอก
เพราะเราไม่ได้สมัครโครงการ host family ไว้ทำให้เป็นเด็กไร้ครอบครัว....เหอๆ

แต่ที่ออกมาเร็วก็เพราะว่า....กลัวหลงง่ะ เ
ลยตามๆคนอื่นมาพอไปถึงที่แล้วก็ทำปีกกล้าขาแข็งเลยนะ
โดยการพยายามเดินไปไปรษณีย์ด้วยตัวเองแต่ทำไมรู้ไหม....

หลงสิคะ!!!

หลงทางอีกแล้วอ่ะ...แต่ดีนะที่วันนี้มีโทรศัพท์ ไ
ม่งั้นคงต้องย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์เดิมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
หาทางไม่เจอ....แถมพูดก็ไม่รู้เรื่อง กว๊ากกกกกกกกกกก!!!
(ใครยังไม่รู้...ให้กลับไปอ่านเหตุการณ์เมื่อสองครั้งที่แล้ว จะได้รู้ถึงความโง่ของเรา)

ก็เลยได้ที...โทรไปหาพี่พลังพี่พลังเป็นนักเรียนไทยที่นี่
มาเรียนหมอที่ฮันได้ได้หลายปีแล้ว
แล้วรู้สึกว่าพี่เค้าจะเป็นประธานนักเรียนไทยที่คันไซด้วย

พี่พลังเป็นคนที่เราโทรไปหาเป็นคนแรกที่เรามาโอซาก้า
จำได้ไหมเพราะวันนั้นเป็นวันที่เหงาสุดๆ แล้วพี่พลังเคยให้เบอร์เราไว้พอดี
ถ้าไม่มีพี่พลังวันนั้น...เราก็คงยังนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมอ่ะ เหอๆ

อ่อ...แล้วเมื่อวาน
เราได้ตามพี่อ้นไปประชุมงานลอยกระทงที่สถานกงสุลไทยประจำโอซาก้า
แล้วพี่พลังก็ได้ทาบทามเราให้เป็นนางนพมาศไว้แล้ว!!!เ

ราล่ะเป็นงงสิคะ....
ทำไมหว่า ท้องถิ่นนี้มันไม่มีแล้วจริงๆหรือเนี่ยจนต้องหมดสิ้นหนทางมาทาบทามเรา เ
หอๆ...ขำง่ะ

เข้าเรื่องต่อ...
พอโทรไปหาพี่พลังแล้วก็ทำให้หาไปรษณีย์เจอ...
แต่ขากลับแอบงงๆเล็กน้อย ท่าทางเราจะมีปัญหาด้านทิศทาง เหอๆ

ไปถึงงานก็มี opening ceremony...
เค้าก็ให้นักเรียนขึ้นไปพูดแนะนำตัวคนละ 1 นาที
ก็รู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ แต่เราก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากมาย
งมๆไปเรื่อยๆแล้วก็พยายามจะถ่ายรูปมาให้ดู...
เอ๊ะ...ทำไมเปิดกล้องไม่ได้

..........

อ๋อ...ลืมแบตฯไว้ที่ห้อง -_-"

วันนี้เลยไม่มีรูปให้ดูกันนะ เหอๆ

หลังจากงานก็มีการจัดปาร์ตี้ต้อนรับเล็กน้อย
อาหารก็มีแซนวิช พิซซ่า และเฟรนฟรายส์กินไปได้สักพักก็จะไปแล้วล่ะ
เพราะตั้งใจว่าจะไปเปิดบัญชีหลังจากที่เมื่อวานนี้พยายามกระหืดกระหอบวิ่งไปเปิดบัญชีถึง Umeda (มันคือในเมืองน่ะ)
จะได้หาเรื่องเข้าเมืองบ่อยๆ เหอๆ

แต่พอไปถึง...ตอนสามโมงครึ่ง มันก็ปิดแล้วง่ะ...ปิดบ่ายสาม!!

เราล่ะงงจริงๆ..จะรีบปิดทำไมหว่าแล้ว ATM ที่นี่ไม่ได้เปิด 24 ชม.ด้วยนะ เ
หอๆแบบวันหยุดยาวต้องรีบถอนตังค์ไว้เลย ไม่งั้นอาจอดตายได้

อ่อ...ที่ต้องไปเปิดบัญชีก็เพราะว่าไม่งั้นจะไม่มีตังค์ใช้นะ
เพราะทุนเราเค้าจะโอนตังค์ผ่านบัญชีง่ะ...

ก่อนที่จะออกจากงานไปกับต้องตา (เพื่อนที่เซนต์ฟรังฯ จำได้เปล่าเคยเล่าแล้ว)
ก็มีฝรั่งคนนึงซึ่งเป็น 1 ใน 7 หนวดในโปรแกรมเรา ก็ออกมาพูดไมค์ว่าคืนนี้ให้มาเจอกัน 1 ทุ่มจะไปดื่มกัน...

จะว่าเราแปลกไหมนะ...
เราเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืนเลยให้ตายเหอะ...
อาจเป็นเพราะว่าไปเที่ยวทีไร วันต่อมาจะต้องตื่นบ่ายสาม
แล้วก็ต้องไม่สบายทุกที

อีกอย่าง..รู้สึกว่าเรากับฝรั่งนี่จะคนละแนวเลยหว่ะ
เราเลยทิ้งโอกาสที่จะได้รู้จักเพื่อน...เอาไปนอนดีกว่า เหอๆ

พอออกจากงานแล้ว...ก็พยายามหาทางไปขึ้นรถไฟแล้วทำไมรู้ไหม...
หลงอีกแล้วค่ะคุณผู้ชม!!!!

แต่อันนี้พัฒนาเพราะสามารถหาทางที่ถูกได้เองโดยไม่ต้องถามใคร
พอไปถึง Umeda โดยสวัสดิภาพแล้ว...
ก็วิ่งไปเปิดบัญชีอ่า..วันนี้มาถึงก่อนสามโมงนะเนี่ย
แต่เค้าไม่ให้เราเปิดง่ะ...

ไม่ว่าธนาคารไหนก็ตามพอรู้กันไหมว่าที่ญี่ปุ่นเค้าจะไม่มีการเซ็นชื่อนะ
เค้าจะให้ตราปั๊ม (อินคัง) กันแทนซึ่งเราไม่มีง่ะ....

อารายว้า...คนอื่นเค้ายังเปิดกันได้เลย
สงสัยสาขานี้เรื่องมาก ต้องไปเปิดวันอื่นจนได้

หลังจากนั้นก็เดินช็อปปิ้งแหลกค่ะ...
คือเลิกจดแล้วว่าซื้ออะไรมั่งวันๆแต่รู้สึกว่าจะหนักไปทางของแต่งบ้านจากร้าน 100 เยน...

ร้าน 100 เยนที่นี่ดีนะ...
แต่ละที่ก็มีของไม่เหมือนกันวันนี้ที่เจอนี่เป็นแบบแนว country ...
ก็ไม่วายซื้อมาอีกง่ะ

เดินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จนถึงห้าโมงเย็นเริ่มเมื่อยเลยไปหาอะไรกิน...
ฮ่าๆๆๆ บุฟเฟต์ไอติมอ่ะ...มีไอติมให้เลือก 13 รส...ท็อปปิ้งอีก 10 อย่าง ในราคา 700 เยน
อืม...สมเหตุสมผล เลยกินแหลกเลยค่ะ เหอๆ

แล้วก็ออกมาเดินสลายแคลอรี่กันต่อ...
จนถึงสามทุ่มแล้วก็กลับมาเนี่ยแหละ...

วันนี้เป็นวันแรกที่ขึ้นรถไฟกลับมาเองโดยปราศจากพี่อ้น
เพราะพี่อ้นไปต่างจังหวัดอ่ะ
จะกลับวันจันทร์ก็แอบเหงานะเนี่ย...

อ่อ...ที่บอกว่าจะไปเยี่ยมพี่แดกที่คันนาซาว่านั่นน่ะ
ได้โดยล้มเลิกไปแล้ว...
โดยแม่และพ่อเราเองแบบว่า...เค้ากลัวหลงอ่ะ

เฮ้อ...เสียดาย คงไม่ได้เจอพี่แดกอีกปีนึง

แต่มีโปรแกรมใหม่แล้ว...
ฮ่าๆๆๆโดยพรุ่งนี้จะไปเกียวโตกับต้องตาล่ะ
แล้วคราวนี้มีรูปให้ดูแน่ เพราะได้เอาแบตฯออกมาเรียบร้อยแล้วจ้า...

แล้วพบกันใหม่นะ...

Wednesday, September 28, 2005

จักรยาน...เนินเขา...และบะหมี่สำเร็จรูป

เอาล่ะ....
หลังจากที่ทุกคนคงได้รู้จากคราวที่แล้วแล้วว่าเราจักรยานล้มได้แผลมาประดับหน้า 1 แถบ
และหลายๆคนก็คงได้เห็นรูปอันน่าสยดสยองแล้วด้วย

วันนี้...เป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งที่สุดในชีวิตเรา

นั่นก็คือ....
การกลับไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้เมืองสองวันก่อนกลับมาบ้าน -_-"

ตื่นแต่เช้า...สูดหายใจให้ลึกที่สุด
และนั่งรถไฟไปกับเพื่อนฝรั่งอีกสองคนเพื่อไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้

ตึกตัก...ตึกตัก...

จักรยานไม่หาย!!! มันยังอยู่ตรงนั้น!!!

โล่งใจไปเปราะหนึ่ง...แต่เหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดยังรออยู่ข้างหน้าก็คือ...
การขี่จักรยานกลับไปมหาลัย (แบบไม่ล้ม)

ตึกตัก...ตึกตัก...

ระหว่างขี่ก็สวดมนต์ไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย
พยายามไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากการขี่จักรยานลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายเท้าไปเลย
และแล้ว...ด้วยความเร็วแบบคุณป้าเราก็มาถึงฮันไดโดยสวัสดิภาพ (ฮันได = Osaka University)

เฮ้อ...

วันนี้มีทัวร์ Suita Campus
ก็โอเคนะ...ฝรั่งก็จับกลุ่มคุยกับฝรั่งคนจีนก็จับกลุ่มคุยกับคนจีน...
ส่วนเรา...ดีนะมีเพื่อนสมัยเซนต์ฟรังฯมาเจอกันที่นี่ไม่ยอมแพ้เว่ย..คุยภาษาไทยก็ได้ เหอๆๆๆๆๆๆ

พอเลิกจากงานที่มหาลัยก็สูดหายใจลึกๆอีกครั้ง
รอเพื่อนคนไทยคนหนึ่งที่จะพาเรากลับบ้าน"อย่างปลอดภัย"

เปี๊ยก...
เป็นเพื่อนสมัยอยู่เตรียมฯ
ที่จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยได่คุยกันเท่าไหร่แต่หลังจากเรารู้ว่าจะได้มาที่นี่
ก็ได้คุยกันนิดหน่อยพอหลังจากเราได้มือถือก็รีบโทรหาทันที เ
พราะวันนั้นก็คือวันที่เราหลงนั่นแหละเปี๊ยกก็รับปากว่าจะพาเรากลับบ้าน

แต่...จะบอกให้ว่าวันนี้นี่มาราธอนมากๆ
เนื่องจากต้องปล่อยให้คุณเปี๊ยกกลับบ้านไปอาบน้ำก่อน
ทำให้ต้องขี่จักรยานขึ้นเนินหลายสิบเนินกว่าจะไปถึงบ้านเฮียได้

แล้วก็ได้ความรู้มาว่า...คำว่าโอซาก้าเนี่ยแปลว่า "เนินใหญ่"มิ
น่าล่ะ....ทำไมรู้สึกว่าตอนเดินมันเหนื่อยๆ

นี่เราเดินขึ้นลงเนินโดยไม่รู้ตัวมาตลอดเลยเหรอนี่!!!

หลังจากเฮียอาบน้ำเสร็จ...
โดยเราได้ใช้เวลานั้นเป็นการพักผ่อนและชาร์ตพลังที่หายไปหมดหลังจากการถีบจากฮันไดไปบ้านเปี๊ยก....
กล้ามเนื้อขานี่เต้นเป็นจังหวะเลยนะขอบอก

ก็เข้าใจเรานิดนึง...
ขนาดอยู่เมืองไทย แค่จากคณะไปสยามเรายังไม่เดินเลย
นี่ปั่นจักรยานเป็นกิโล...เฮ้อๆ

หารู้ไม่....การเดินทางอันยาวนานกำลังจะเริ่มขึ้น
นั่นก็คือการปั่นระยะยาวจากบ้านเปี๊ยกไปบ้านเราเนี่ยแหละ
คือ..ไม่ได้จับเวลาหรอกนะว่ามันนานเท่าไหร่
แต่ระหว่างทางก็มีผลตกปรอยๆไปด้วยตลอด บวกกับสปีดคุณป้าอย่างเราก็มั่นใจได้ว่า...
ปั่นมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่ๆมิน่าล่ะ..ขามันปวดๆ เหอๆ

พอถึงบ้านเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง...
เพราะเฮียแกบอกว่าอยากจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

อันนี้ไม่ได้ตาฝาด....มันคือ "พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" จริงๆ!!!
จริงๆแล้วมันคือพิพิธภัณฑ์ของเจ้าของบะหมี่ถ้วย nissin นั่นแหละ
ในนั่นก็มีบอกว่าเริ่มแรกเกิดได้อย่างไร อีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ย
มีประวัติการทำ มีโฆษณาในสมัยอดีต
ทำไมถึงเลือกเครื่องปรุงแบบนี้ ทำไมเวลาเทนำไปบะหมี่ลอย ฯลฯ แถมค่าเข้าฟรี!!!

น่าสนใจจริงๆอีแค่เรื่องบะหมี่ถ้วยก็มีความรู้เหมือนกันแฮะ
คิดๆดูแล้วเมืองไทยก็น่าจะมีอย่างงี้บ้างเนอะ

แต่ว่า...ก็ดูไม่จบหรอก
เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดสี่โมงเย็นคือกว่าเราจะปั่นจักรยานมา
บวกกับขึ้นรถไฟ และเดินมาก็สามโมงครึ่งแล้วเฮียเปี๊ยกสนใจสุดๆ บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก เหอๆ

แล้วอะไรต่อรู้มะ...เ
ดินค่ะเดินตอนแรกนั่งรถไฟมา คราวนี้แกอยากเดินสำรวจเส้นทางก็เลยเดินกลับ

มาถึงสถานีบ้านเรา ก็กะว่าจะไปเยี่ยมพี่อ้น (คือพี่ผู้หญิงคนไทยผู้ใจดีคนนั้น)
ซึ่งสถานีบ้านเค้าห่างจากบ้านเรา 1 สถานีฃ
ตอนแรกเฮียจะขี่จักรยานไป...

!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เรากรี๊ดทันที....เ
พิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้เราเป็นโรค afraid of bicycle ไปแล้ว...

หลังจากที่ต่อรองอยู่นานเพราะเฮียขี้เกียจเดิน เรากลัวล้ม....ก็เลยเดินไป ฮ่าๆ
(ทำไม..การขึ้นรถไฟนี่มันไม่อยู่ในหัวแกเลยว้า~~)

พอไปถึงก็ไปช่วบพี่อ้นทำกับข้าว กินข้าว
คุยๆกันแล้วก็กลับ เพราะเฮียแกอยากดู Final Fantasy VII Advent Children
ที่เฮียแบงค์ลงไว้ในเครื่องเราก่อนมา

อีกอย่างจักรยานเฮียก็จอดไว้ที่บ้านเราเราก็เลยให้เฮียมานั่งดูให้หนำใจ...
ส่วนเราก็นั่งอ่านหนังสือไป
และได้เจอประโยคหนึ่งในหนังสือ "โตเกียวไม่มีขา" ว่า...

"พี่น้องสองคนที่สร้างเครื่องบินมาจะรู้ไหมนะว่า พวกเขาไม่ได้ให้แค่เครื่องบินแก่มนุษยชาติแต่เขายังทำให้มนุษย์ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้เรียนรู้คนอื่น ได้เข้าใจความแตกต่างที่หลากหลาย ได้รู้จักการจากลา ได้ไกลกันเพื่อได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความคิดถึง ได้แสดงความรักอย่างไม่อายคนรอบข้าง ได้ห่วงใยกัน ได้กลับมาเจอเพื่อรักกันมากขึ้นได้เห็นคุณค่าของใครซักคนในห้วงยามที่เขาไม่อยู่ใกล้..."

.................................................

ก็หวังว่า สองประโยคสุดท้ายเนี่ยมันจะเกิดกะเราเนอะ

ปล. เดี๋ยวศุกร์-อาทิตย์นี้มีโปรแกรมจะไปเยี่ยมพี่แดก (รุ่นพี่ที่คณะ ที่มาอยู่ก่อนเราปีนึง)
ที่เมืองคันนาซาว่านะ คงไม่ได้กลับบ้าน แล้วเดี๋ยวกลับมาคงมีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์บะหมี่สำเร็จรูปที่ว่า...(สังเกตแผลที่แก้มขวายังอยู่)

Monday, September 26, 2005

วันแรกในโรงเรียน อุบัติเหตุ และความโง่

ตื่นเช้ามาด้วยความขี้เกียจเล็กน้อย
เพราะเหนื่อยจากงาน Thai Food Festival วันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา

ท้าวความก่อน...คือ เล่าให้ฟังแล้วใช้ไหมว่าได้รู้จักพี่คนไทยคนหนึ่ง
หลังจากนั้นเค้าก็พาไปเอาทีวี ไมโครเวฟ และพัดลมเหอๆๆๆ
เลยกลายเป็นคนที่มีอุปกรณ์เยอะที่สุดในหอเลยเพื่อนชาติอื่นตกใจกันหมด
ประมาณว่ามันไปเอามาจากไหนหว่า

รักคนไทยสุดๆตอนนี้
ก็เลยเอาแต่ขลุกอยู่กับพี่คนไทยหลายวันที่ผ่านมาและรู้จักเพิ่มอีกหลายคนทีเดียว

เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา มีงาน Thai Food Festival ที่ Tennoji
ก็เลยติดสอยห้อยตามพี่เค้าไปด้วย....ง่าไม่งั้นได้อยู่คนเดียวง่ะ

ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเค้าเท่าไหร่หรอก ได้แต่แจกแบบสอบถาม
และพูดภาษาญี่ปุ่นงูๆปลาๆของเราไป
แต่ก็นะ...ได้ความรู้การสนทนาภาษาญี่ปุ่นมาอีกเพียบเลยล่ะ อิอิ

อ้อ..ในงานนอกจากจะมีอาหารไทย
ก็ยังมีของอื่นๆมาขายเพียบไอ้พวกป้ายห้ามสูบบุหรี่ภาษาไทย มันยังเอามาขายกันได้อ่ะ

อ้อ..แล้วก็มีนักร้องไทยมาด้วยนะ มีหวานซาซ่า กับน้ำฝน นภัสมาด้วย ...
นักเรียนไทยแห่กันไปขอถ่ายรูปคู่กันใหญ่
เราก็ด้วยแหละ แต่อย่างว่าอ่ะ ถ้าเจอเค้าที่เมืองไทยก็คงเฉยๆ เหอะๆ

นะ...แต่ที่ไม่ได้ทำไรเลยเนี่ย
พี่เค้าให้ตังค์เราอีก โคตรดีกะเราอ่ะ
....แต่เราก็คืนเค้าไปส่วนนึง เพราะเกรงใจอ่ะ พี่เค้าทำงานเยอะกว่าเราอีก...




..................................................

พอมาวันนี้ก็นะ...ไปโรงเรียน ทำความเข้าใจอะไรต่างๆเล็กน้อยแล้วก็ได้บัตรนักเรียนมาแล้วล่ะ จะได้ไปซื้อมือถือซะทีขาดการติดต่อจากโลกภายนอกมานานแล้ว

ตอนเลิกก็ได้เช่าจักรยานจากโรงเรียนไป แล้วก็จะทำเป็นเก่งขี่กลับบ้านแต่ขอบอกว่าระหว่างบ้านกับมหาลัยนี่มันอยู่คนละ campus กันซึ่งโคตรไกลอ่ะ ก็ไปกับเพื่อนฝรั่งสองคน ซึ่งนะฝรั่งอ่ะ...อยู่บ้านเค้าก็ขี่เป็นประจำ

ส่วนเรา....


ไม่ได้ขี่มาสี่ปีแล้วมั้ง เหอๆๆ
ขี่ไปสักพัก เค้าก็เริ่มเร็วๆ และก็เริ่มไม่ทัน กลัวหลงง่ะ เลยเร่งมั่งเร่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โครมมมม!!!!!!!!!


ล้มสิคะ...แล้วเอาแก้มลงตอนนี้หน้าเลยเป็นแผล เสียโฉมเล็กน้อยพร้อมกับแผลตามเข่า มือ และไหล่ มาได้ไงไม่รู้


แล้วอะไรรู้ไหมหลงทางอีกสรุปแล้ว...ก็เลยจอดจักรยานไว้ซักที่หนึ่งกันสามคนแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับบ้านโง่ไหมล่ะคะ...ทำเป็นเก่งจะปั่นจักรยานมาราธอน


ตอนนี้ก็...มาอาศัยใบบุญพี่คนไทยคนหนึ่งเพราะยังไม่มีเน็ทให้ใช้อ่ะที่บ้านพรุ่งนี้จะมีแล้วนะ คงได้ออนและอัพไดบ่อยๆ


ตอนนี้ต้องไปก่อนล่ะนะ พิมพ์ไทยแบบไม่มีแป้นอยู่พี่เค้าใช้แป้นญี่ปุ่นอ่ะ โคตรลำบากเลยกว่าจะพิมพ์เสร็จแล้วก็จะไปซื้อมือถือแล้วล่ะ ดีใจๆๆๆเหอๆ


บ๊ายบายยยย
ปล. คิดถึงนะ อิอิ

Thursday, September 22, 2005

โอซาก้า...กับวันแรกๆ

หลังจากผ่านคืนแรกมาแล้ว...
ตื่นเช้ามาก็ม่คำถามเกิดขึ้นในหัวนิดหน่อย ว่า...
"นี่มันที่ไหนกันหว่า??"

เคยเป็นกันบ้างไหม เวลาตื่นมาคนเดียวในที่ไหนก็ไม่รู้

แต่พอระลึกได้แล้ว คำพูดต่อมาที่ปรากฎในหัวก็คือ"เราต้องอยู่ได้สิ..."

จะว่าไป...
เราก็รู้สึกดีกว่าเมื่อวานเยอะนะ
อาจเป็นเพราะว่า เมื่อวานนี้มันเป็นวันแรก
แล้วอยากจะบอกว่ามันไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน

ก็สงสัยว่ามันจะให้เรารีบมาทำไมหว่า
อ่อ...สงสัยมาให้ใช้เวลาว่างนั่งร้องไห้ล่ะมั้ง

..........

เราก็เป็นคนยังงี้แหละ

..........

วันนี้พอดีว่ามีอะไรทำหลายอย่าง
เช่นไปลงทะเบียน alien registration
ก็ได้เพื่อนหลายคนเหมือนกัน
แต่ก็ต่างชาติอ่ะนะ ไม่รู้จะคุยไรเท่าไหร่

มีคนเวียดนามคนนึง..อยู่ห้องข้างๆ งืดมั่กๆอ่ะ

แล้วก็ไปซื้อของพวกหม้อ จาน ชาม ตะหลิว
แล้วก็ของสดเล็กน้อยอ่า..มีอะไรกินแล้วเรา

แต่พอกลับมา ก็ไม่วายเข้าอาการเดิมเลยคิดถึงอ่ะ....เข้าใจป่าววว

พอเปิดเพลงไม่หลับไม่นอนของมาช่าฟัง
ก็รู้สึกว่า...มันไม่เห็นจะตรงเลยอ่ะ
ไอ้อาการที่บอกว่าคิดถึงเธอแล้วนอนไม่หลับเนี่ยนะมันไม่เกิดกะเราอ่ะ
เพราะเราจะรีบๆนอนเลย เพราะตอนนี้เรารู้สึกเหลือเกินว่า
"ไอ้การคิดถึงแล้วไม่ได้เจอเนี่ยนะ...มันเป็นความทรมาณอย่างหนึ่ง"

เคยเป็นกันบ้างไหม? เล่าให้ฟังกันบ้างสิ

วันนี้...ก็ยังไม่มีมือถือใช้ ไม่มีโทรศัพท์ใช้
ส่วนเน็ทก็ต้องรอวันอังคารเดี๋ยวจะมีบริษัทมาติดให้ เดือนละตั้ง 5775 เยนแหน่ะ!!
แต่ก็โอนะ..ดีกว่าไม่มีใช้

อ่อ..ส่วนที่ใช้อยู่เนี่ยเป็นการพึ่งใบบุญของพี่คนไทยคนนึง ที่บังเอิญไปรู้จักกันแล้วเค้าอยู่หอเดียวกันอ่ะ เ
หอๆเลยเอาคอมไปตั้งใช้ที่ห้องเค้า โดยใช้ wireless ของเค้าได้
แหะๆ แก้ขัดนะ

ส่วนวันที่เค้าไม่อยู่ เค้าก้อบอกให้เอาคอมมาตั้งเล่นหน้าห้องเค้าได้
อ้อ...แล้วพี่คนเดียวกันเนี่ยแหละ เค้าบอกว่าจะพาไปเอาทีวีฟรีพรุ่งนี้สบายไหมล่ะ เหอๆ

วันนี้ต้องไปก่อนนะ....ดึกแล้วล่ะ เอาเวลาเมืองไทยบอกไปสอง ชม.นะ
บ๊ายบายทุกคนจ๊ะอย่าลืมมาเม้นท์กันเยอะๆนะ

ภาพทางเดินเข้าหอพัก

Osaka University International House