จักรยาน...เนินเขา...และบะหมี่สำเร็จรูป
เอาล่ะ....
หลังจากที่ทุกคนคงได้รู้จากคราวที่แล้วแล้วว่าเราจักรยานล้มได้แผลมาประดับหน้า 1 แถบ
และหลายๆคนก็คงได้เห็นรูปอันน่าสยดสยองแล้วด้วย
วันนี้...เป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งที่สุดในชีวิตเรา
นั่นก็คือ....
การกลับไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้เมืองสองวันก่อนกลับมาบ้าน -_-"
ตื่นแต่เช้า...สูดหายใจให้ลึกที่สุด
และนั่งรถไฟไปกับเพื่อนฝรั่งอีกสองคนเพื่อไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้
ตึกตัก...ตึกตัก...
จักรยานไม่หาย!!! มันยังอยู่ตรงนั้น!!!
โล่งใจไปเปราะหนึ่ง...แต่เหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดยังรออยู่ข้างหน้าก็คือ...
การขี่จักรยานกลับไปมหาลัย (แบบไม่ล้ม)
ตึกตัก...ตึกตัก...
ระหว่างขี่ก็สวดมนต์ไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย
พยายามไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากการขี่จักรยานลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายเท้าไปเลย
และแล้ว...ด้วยความเร็วแบบคุณป้าเราก็มาถึงฮันไดโดยสวัสดิภาพ (ฮันได = Osaka University)
เฮ้อ...
วันนี้มีทัวร์ Suita Campus
ก็โอเคนะ...ฝรั่งก็จับกลุ่มคุยกับฝรั่งคนจีนก็จับกลุ่มคุยกับคนจีน...
ส่วนเรา...ดีนะมีเพื่อนสมัยเซนต์ฟรังฯมาเจอกันที่นี่ไม่ยอมแพ้เว่ย..คุยภาษาไทยก็ได้ เหอๆๆๆๆๆๆ
พอเลิกจากงานที่มหาลัยก็สูดหายใจลึกๆอีกครั้ง
รอเพื่อนคนไทยคนหนึ่งที่จะพาเรากลับบ้าน"อย่างปลอดภัย"
เปี๊ยก...
เป็นเพื่อนสมัยอยู่เตรียมฯ
ที่จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยได่คุยกันเท่าไหร่แต่หลังจากเรารู้ว่าจะได้มาที่นี่
ก็ได้คุยกันนิดหน่อยพอหลังจากเราได้มือถือก็รีบโทรหาทันที เ
พราะวันนั้นก็คือวันที่เราหลงนั่นแหละเปี๊ยกก็รับปากว่าจะพาเรากลับบ้าน
แต่...จะบอกให้ว่าวันนี้นี่มาราธอนมากๆ
เนื่องจากต้องปล่อยให้คุณเปี๊ยกกลับบ้านไปอาบน้ำก่อน
ทำให้ต้องขี่จักรยานขึ้นเนินหลายสิบเนินกว่าจะไปถึงบ้านเฮียได้
แล้วก็ได้ความรู้มาว่า...คำว่าโอซาก้าเนี่ยแปลว่า "เนินใหญ่"มิ
น่าล่ะ....ทำไมรู้สึกว่าตอนเดินมันเหนื่อยๆ
นี่เราเดินขึ้นลงเนินโดยไม่รู้ตัวมาตลอดเลยเหรอนี่!!!
หลังจากเฮียอาบน้ำเสร็จ...
โดยเราได้ใช้เวลานั้นเป็นการพักผ่อนและชาร์ตพลังที่หายไปหมดหลังจากการถีบจากฮันไดไปบ้านเปี๊ยก....
กล้ามเนื้อขานี่เต้นเป็นจังหวะเลยนะขอบอก
ก็เข้าใจเรานิดนึง...
ขนาดอยู่เมืองไทย แค่จากคณะไปสยามเรายังไม่เดินเลย
นี่ปั่นจักรยานเป็นกิโล...เฮ้อๆ
หารู้ไม่....การเดินทางอันยาวนานกำลังจะเริ่มขึ้น
นั่นก็คือการปั่นระยะยาวจากบ้านเปี๊ยกไปบ้านเราเนี่ยแหละ
คือ..ไม่ได้จับเวลาหรอกนะว่ามันนานเท่าไหร่
แต่ระหว่างทางก็มีผลตกปรอยๆไปด้วยตลอด บวกกับสปีดคุณป้าอย่างเราก็มั่นใจได้ว่า...
ปั่นมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่ๆมิน่าล่ะ..ขามันปวดๆ เหอๆ
พอถึงบ้านเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง...
เพราะเฮียแกบอกว่าอยากจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
อันนี้ไม่ได้ตาฝาด....มันคือ "พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" จริงๆ!!!
จริงๆแล้วมันคือพิพิธภัณฑ์ของเจ้าของบะหมี่ถ้วย nissin นั่นแหละ
ในนั่นก็มีบอกว่าเริ่มแรกเกิดได้อย่างไร อีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ย
มีประวัติการทำ มีโฆษณาในสมัยอดีต
ทำไมถึงเลือกเครื่องปรุงแบบนี้ ทำไมเวลาเทนำไปบะหมี่ลอย ฯลฯ แถมค่าเข้าฟรี!!!
น่าสนใจจริงๆอีแค่เรื่องบะหมี่ถ้วยก็มีความรู้เหมือนกันแฮะ
คิดๆดูแล้วเมืองไทยก็น่าจะมีอย่างงี้บ้างเนอะ
แต่ว่า...ก็ดูไม่จบหรอก
เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดสี่โมงเย็นคือกว่าเราจะปั่นจักรยานมา
บวกกับขึ้นรถไฟ และเดินมาก็สามโมงครึ่งแล้วเฮียเปี๊ยกสนใจสุดๆ บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก เหอๆ
แล้วอะไรต่อรู้มะ...เ
ดินค่ะเดินตอนแรกนั่งรถไฟมา คราวนี้แกอยากเดินสำรวจเส้นทางก็เลยเดินกลับ
มาถึงสถานีบ้านเรา ก็กะว่าจะไปเยี่ยมพี่อ้น (คือพี่ผู้หญิงคนไทยผู้ใจดีคนนั้น)
ซึ่งสถานีบ้านเค้าห่างจากบ้านเรา 1 สถานีฃ
ตอนแรกเฮียจะขี่จักรยานไป...
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เรากรี๊ดทันที....เ
พิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้เราเป็นโรค afraid of bicycle ไปแล้ว...
หลังจากที่ต่อรองอยู่นานเพราะเฮียขี้เกียจเดิน เรากลัวล้ม....ก็เลยเดินไป ฮ่าๆ
(ทำไม..การขึ้นรถไฟนี่มันไม่อยู่ในหัวแกเลยว้า~~)
พอไปถึงก็ไปช่วบพี่อ้นทำกับข้าว กินข้าว
คุยๆกันแล้วก็กลับ เพราะเฮียแกอยากดู Final Fantasy VII Advent Children
ที่เฮียแบงค์ลงไว้ในเครื่องเราก่อนมา
อีกอย่างจักรยานเฮียก็จอดไว้ที่บ้านเราเราก็เลยให้เฮียมานั่งดูให้หนำใจ...
ส่วนเราก็นั่งอ่านหนังสือไป
และได้เจอประโยคหนึ่งในหนังสือ "โตเกียวไม่มีขา" ว่า...
"พี่น้องสองคนที่สร้างเครื่องบินมาจะรู้ไหมนะว่า พวกเขาไม่ได้ให้แค่เครื่องบินแก่มนุษยชาติแต่เขายังทำให้มนุษย์ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้เรียนรู้คนอื่น ได้เข้าใจความแตกต่างที่หลากหลาย ได้รู้จักการจากลา ได้ไกลกันเพื่อได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความคิดถึง ได้แสดงความรักอย่างไม่อายคนรอบข้าง ได้ห่วงใยกัน ได้กลับมาเจอเพื่อรักกันมากขึ้นได้เห็นคุณค่าของใครซักคนในห้วงยามที่เขาไม่อยู่ใกล้..."
.................................................
ก็หวังว่า สองประโยคสุดท้ายเนี่ยมันจะเกิดกะเราเนอะ
ปล. เดี๋ยวศุกร์-อาทิตย์นี้มีโปรแกรมจะไปเยี่ยมพี่แดก (รุ่นพี่ที่คณะ ที่มาอยู่ก่อนเราปีนึง)
ที่เมืองคันนาซาว่านะ คงไม่ได้กลับบ้าน แล้วเดี๋ยวกลับมาคงมีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยล่ะ
หลังจากที่ทุกคนคงได้รู้จากคราวที่แล้วแล้วว่าเราจักรยานล้มได้แผลมาประดับหน้า 1 แถบ
และหลายๆคนก็คงได้เห็นรูปอันน่าสยดสยองแล้วด้วย
วันนี้...เป็นวันที่น่าตื่นเต้นที่สุดวันหนึ่งที่สุดในชีวิตเรา
นั่นก็คือ....
การกลับไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้เมืองสองวันก่อนกลับมาบ้าน -_-"
ตื่นแต่เช้า...สูดหายใจให้ลึกที่สุด
และนั่งรถไฟไปกับเพื่อนฝรั่งอีกสองคนเพื่อไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้
ตึกตัก...ตึกตัก...
จักรยานไม่หาย!!! มันยังอยู่ตรงนั้น!!!
โล่งใจไปเปราะหนึ่ง...แต่เหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดยังรออยู่ข้างหน้าก็คือ...
การขี่จักรยานกลับไปมหาลัย (แบบไม่ล้ม)
ตึกตัก...ตึกตัก...
ระหว่างขี่ก็สวดมนต์ไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย
พยายามไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากการขี่จักรยานลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายเท้าไปเลย
และแล้ว...ด้วยความเร็วแบบคุณป้าเราก็มาถึงฮันไดโดยสวัสดิภาพ (ฮันได = Osaka University)
เฮ้อ...
วันนี้มีทัวร์ Suita Campus
ก็โอเคนะ...ฝรั่งก็จับกลุ่มคุยกับฝรั่งคนจีนก็จับกลุ่มคุยกับคนจีน...
ส่วนเรา...ดีนะมีเพื่อนสมัยเซนต์ฟรังฯมาเจอกันที่นี่ไม่ยอมแพ้เว่ย..คุยภาษาไทยก็ได้ เหอๆๆๆๆๆๆ
พอเลิกจากงานที่มหาลัยก็สูดหายใจลึกๆอีกครั้ง
รอเพื่อนคนไทยคนหนึ่งที่จะพาเรากลับบ้าน"อย่างปลอดภัย"
เปี๊ยก...
เป็นเพื่อนสมัยอยู่เตรียมฯ
ที่จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยได่คุยกันเท่าไหร่แต่หลังจากเรารู้ว่าจะได้มาที่นี่
ก็ได้คุยกันนิดหน่อยพอหลังจากเราได้มือถือก็รีบโทรหาทันที เ
พราะวันนั้นก็คือวันที่เราหลงนั่นแหละเปี๊ยกก็รับปากว่าจะพาเรากลับบ้าน
แต่...จะบอกให้ว่าวันนี้นี่มาราธอนมากๆ
เนื่องจากต้องปล่อยให้คุณเปี๊ยกกลับบ้านไปอาบน้ำก่อน
ทำให้ต้องขี่จักรยานขึ้นเนินหลายสิบเนินกว่าจะไปถึงบ้านเฮียได้
แล้วก็ได้ความรู้มาว่า...คำว่าโอซาก้าเนี่ยแปลว่า "เนินใหญ่"มิ
น่าล่ะ....ทำไมรู้สึกว่าตอนเดินมันเหนื่อยๆ
นี่เราเดินขึ้นลงเนินโดยไม่รู้ตัวมาตลอดเลยเหรอนี่!!!
หลังจากเฮียอาบน้ำเสร็จ...
โดยเราได้ใช้เวลานั้นเป็นการพักผ่อนและชาร์ตพลังที่หายไปหมดหลังจากการถีบจากฮันไดไปบ้านเปี๊ยก....
กล้ามเนื้อขานี่เต้นเป็นจังหวะเลยนะขอบอก
ก็เข้าใจเรานิดนึง...
ขนาดอยู่เมืองไทย แค่จากคณะไปสยามเรายังไม่เดินเลย
นี่ปั่นจักรยานเป็นกิโล...เฮ้อๆ
หารู้ไม่....การเดินทางอันยาวนานกำลังจะเริ่มขึ้น
นั่นก็คือการปั่นระยะยาวจากบ้านเปี๊ยกไปบ้านเราเนี่ยแหละ
คือ..ไม่ได้จับเวลาหรอกนะว่ามันนานเท่าไหร่
แต่ระหว่างทางก็มีผลตกปรอยๆไปด้วยตลอด บวกกับสปีดคุณป้าอย่างเราก็มั่นใจได้ว่า...
ปั่นมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่ๆมิน่าล่ะ..ขามันปวดๆ เหอๆ
พอถึงบ้านเราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง...
เพราะเฮียแกบอกว่าอยากจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
อันนี้ไม่ได้ตาฝาด....มันคือ "พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" จริงๆ!!!
จริงๆแล้วมันคือพิพิธภัณฑ์ของเจ้าของบะหมี่ถ้วย nissin นั่นแหละ
ในนั่นก็มีบอกว่าเริ่มแรกเกิดได้อย่างไร อีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ย
มีประวัติการทำ มีโฆษณาในสมัยอดีต
ทำไมถึงเลือกเครื่องปรุงแบบนี้ ทำไมเวลาเทนำไปบะหมี่ลอย ฯลฯ แถมค่าเข้าฟรี!!!
น่าสนใจจริงๆอีแค่เรื่องบะหมี่ถ้วยก็มีความรู้เหมือนกันแฮะ
คิดๆดูแล้วเมืองไทยก็น่าจะมีอย่างงี้บ้างเนอะ
แต่ว่า...ก็ดูไม่จบหรอก
เพราะพิพิธภัณฑ์ปิดสี่โมงเย็นคือกว่าเราจะปั่นจักรยานมา
บวกกับขึ้นรถไฟ และเดินมาก็สามโมงครึ่งแล้วเฮียเปี๊ยกสนใจสุดๆ บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก เหอๆ
แล้วอะไรต่อรู้มะ...เ
ดินค่ะเดินตอนแรกนั่งรถไฟมา คราวนี้แกอยากเดินสำรวจเส้นทางก็เลยเดินกลับ
มาถึงสถานีบ้านเรา ก็กะว่าจะไปเยี่ยมพี่อ้น (คือพี่ผู้หญิงคนไทยผู้ใจดีคนนั้น)
ซึ่งสถานีบ้านเค้าห่างจากบ้านเรา 1 สถานีฃ
ตอนแรกเฮียจะขี่จักรยานไป...
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เรากรี๊ดทันที....เ
พิ่งจะรู้ตัวว่าตอนนี้เราเป็นโรค afraid of bicycle ไปแล้ว...
หลังจากที่ต่อรองอยู่นานเพราะเฮียขี้เกียจเดิน เรากลัวล้ม....ก็เลยเดินไป ฮ่าๆ
(ทำไม..การขึ้นรถไฟนี่มันไม่อยู่ในหัวแกเลยว้า~~)
พอไปถึงก็ไปช่วบพี่อ้นทำกับข้าว กินข้าว
คุยๆกันแล้วก็กลับ เพราะเฮียแกอยากดู Final Fantasy VII Advent Children
ที่เฮียแบงค์ลงไว้ในเครื่องเราก่อนมา
อีกอย่างจักรยานเฮียก็จอดไว้ที่บ้านเราเราก็เลยให้เฮียมานั่งดูให้หนำใจ...
ส่วนเราก็นั่งอ่านหนังสือไป
และได้เจอประโยคหนึ่งในหนังสือ "โตเกียวไม่มีขา" ว่า...
"พี่น้องสองคนที่สร้างเครื่องบินมาจะรู้ไหมนะว่า พวกเขาไม่ได้ให้แค่เครื่องบินแก่มนุษยชาติแต่เขายังทำให้มนุษย์ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้เรียนรู้คนอื่น ได้เข้าใจความแตกต่างที่หลากหลาย ได้รู้จักการจากลา ได้ไกลกันเพื่อได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความคิดถึง ได้แสดงความรักอย่างไม่อายคนรอบข้าง ได้ห่วงใยกัน ได้กลับมาเจอเพื่อรักกันมากขึ้นได้เห็นคุณค่าของใครซักคนในห้วงยามที่เขาไม่อยู่ใกล้..."
.................................................
ก็หวังว่า สองประโยคสุดท้ายเนี่ยมันจะเกิดกะเราเนอะ
ปล. เดี๋ยวศุกร์-อาทิตย์นี้มีโปรแกรมจะไปเยี่ยมพี่แดก (รุ่นพี่ที่คณะ ที่มาอยู่ก่อนเราปีนึง)
ที่เมืองคันนาซาว่านะ คงไม่ได้กลับบ้าน แล้วเดี๋ยวกลับมาคงมีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์บะหมี่สำเร็จรูปที่ว่า...(สังเกตแผลที่แก้มขวายังอยู่)
11 Comments:
มีแต่เรื่องน่าสนุกทั้งนั้นเลยอ่ะ ^ ^
เดินทางปลอดภัยนะ แล้วมาเล่าเรื่องให้ฟังด้วยล่ะ จะรอฟัง
ดีจัง มีเพื่อนเต็มไปหมดเลย อิอิ
อยากไปพิพิธภัณฑ์อะ
มีให้กินบะหมี่ถ้วยฟรีมั๊ย 555
ไปหอโอซาก้า (ใช่ที่เรียกว่า ฮันชิน รึป่าว) หน่อยดิคับ
อยากเห็น เห็นแต่ในการ์ตูน
ชอบประโยคจากหนังสือมากเลยอะ ไว้จะหามาอ่านมั่ง
ดูแลตัวเองดีๆนะคับ
เป็นห่วงนะ -__-
...Take care
อ่านที่แกเล่ามาแล้วน่าสงสารหว่ะ แต่อีกพักนึงก็ชินแหละ
แล้วแผลแกก็ดูแล้วคงแสบน่าดูเลยอ่ะดิ..ระวังอย่าให้โดนน้ำมากก็แล้วกันตอนนี้ก็ล้างหน้าข้างเดียวไปก่อนละกันเนอะ
เออ กำลังจะทักให้ถ่ายรูปมาโชว์อยู่เลย
โชคดีจ้า
ง่ะ ขอให้แผลหายเร็วๆน้าพี่โบ
อยากกินบะหมี่มั่งจังเยยย
เอากลับมาฝากมั่งนะ
อยู่ที่โน่นคงได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยนะ
การขี่จักรยานไม่ไห้ล้มคงเป็นบทเรียนที่1
ดูแลตัวเองด้วยจ้า
(ขอให้แก้มหายไวไวนะ จะได้เป็นสาวน้อยแก้มใสเหมือนเดิม)
ดีอะ ไปเรียนแบบนักเรียนแลกเปลี่ยนไม่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่กดดันเหมือนเรียนป.โท คงใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน เรียนภาษาได้อย่างสบายใจ.....
++++++++++++++++++++++
ได้เห็นโบว์พูดถึงเปี๊ยกก็ทำให้นึกถึงทริปที่ไปญี่ปุ่นเอง ต้องขอขอบคุณน้องเปี๊ยกที่เอื้อเฟื้อที่อยู่อาศัยที่ Osaka เป็นเวลาห้าวัน... ทำให้เราไปเที่ยวถึง Hiroshima ได้สำเร็จ
++++++++++++++++++++++
สำหรับโบว์ที่ต้องเสียเวลาชีวิตหนึ่งปีที่ญี่ปุ่นก็ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้คุ้มค่า สนุกกับทริประยะยาวนะ
คิดถึงโบว์เน่อ
น่าเสียดายจังที่ไม่ได้คุยกะโบว์ก่อนไป
ยังไงก็ Kambatte นะจ๊ะ
เอารูปขึ้นด้วย เย่ๆๆ ^^
กำลังอยากเห็นรูปเรยอ่ะ
ดูตอนนี้พี่โบว์กำลังสนุกอ่ะ....
ได้เจออะไรใหม่ๆทุกวันแหงๆ
หนูอิจฉา..มากกกกกกกก~
เพราะว่า....
พวกเราที่คณะ..กำลังสอบอยู่~
TT__________TT
ขอให้แผลหายเร็วๆละกานนะ
จุ๊บๆ
ปอลอ..ถ้าเป็นหนูปั่นจักรยานขนาดนั้น น่องคงปูดกว่านี้ง่ะ ไม่ไหวๆอ่า เหอะๆๆ -*-
Looks like u sure have a good time there...
Loneliness is usual for so-called exchange student...Don't let it cloud your judgement...Sometimes we all need to be alone to realise who we really are...so...It's about time...
Good luck, take care
Love&Peace
Post a Comment
<< Home