zz *Bow's Journey Under the RainBow*: January 2006

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Sunday, January 29, 2006

Hiroshima...สงคราม และสันติภาพ

หวัดดีจ้า..มิตรรักแฟนไดอารี่ของเราทุกคน
อย่างที่สัญญาไว้คราวที่แล้วว่าจะเอาเรื่องและภาพ
จากการไปเที่ยวฮิโรชิม่ามาให้ชมกัน

วันนี้ทำตามสัญญานะ..
เพิ่งกลับมาก็รีบเอามาให้ดูเลยเนี่ย จะได้ไม่ดองไว้นาน อิอิ

ขอเริ่มเล่าเลยละกัน
(ขออนุญาตเอาเรื่องบางส่วน..โดยเฉพาะตรงที่เป็นความรู้..มาจากบทความของพี่พีระนะคะ
เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนที่มาอ่านไดของโบ จะได้รู้สึกว่าได้อะไรกลับไปบ้าง หุหุ)

....................................


ฮิโรชิม่า (HIROSHIMA) นิยามในภาษาอังกฤษใช้คำว่า WIDTH ISLAND
ซึ่งหมายถึงเกาะที่มีพื้นที่บริเวณกว้าง

ลักษณะทางภูมิศาสตร์โดยทั่วไปเมืองนี้จะถูกล้อมรอบด้วยภูเขา
บริเวณใจกลางเมืองถูกโอบและขนาบข้างด้วยแม่น้ำทั้งเมือง
สภาพตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเกาะดังคำนิยาม

เมืองฮิโรชิม่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ไม่มีสถาปัตยกรรมเก่าๆให้ได้ดูชม
สภาพเมืองได้รับการจัดวางฝังเมืองและจัดระเบียบเป็นอย่างดี
มีการจัดโซนนิ่งพื้นที่เป็นสัดเป็นส่วนเช่น Shopping center, Industrial area
โซนที่พักอาศัย และโซน Entertainment district

เมืองฮิโรชิม่าประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน
แต่ที่เป็นจุดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสันติภาพและวัฒนธรรม
ระดับนานาชาติ (International City of Peace and Culture)
ที่ทุกคนมาแล้วก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คงจะเป็นบริเวณที่เรียกว่า
"Memorial Park" และ Miyajima Guchi

หรือหากมีเวลาพอสำหรับที่ Hiroshima Castle ก็น่าสนใจเช่นกัน
และในช่วงเย็นเราก็จะจบที่ถนนคนเดินช๊อปปิ้ง Hondori

...............................

ไปถึงฮิโรชิม่า ตามเวลาที่เห็นในนาฬิกานี่แหละจ๊ะ
ใช้เวลามั่วๆหาทาง หาล็อคเกอร์ฝากของเสร็จก็เกือบเที่ยงแล้ว

หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จก็ซื้อตั๋วรถราง+เรือเฟอร์รี่แบบหนึงวัน
ใช้กี่เที่ยวก็ได้มากับปะป๊าคนละ 1 ใบ
แล้วก็จับรถรางมุ่งหน้าไปที่ Miyajima ทันที

ขึ้นรถราง

ต่อด้วยเรือเฟอร์รี่

ใช้เวลาเดินทางด้วยรถรางอืดๆ ร่วมหนึ่งชั่วโมง
แล้วลงเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะมิยาจิม่า ใช้เวลาประมาณสิบนาที

Miyajima เป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้
ลักษณะเป็นเกาะตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่ง

เกาะมิยาจิม่า (Miyajima Island) ถูกจัดให้เป็น World Cultural Heritage
เมืองมรดกโลกที่สวยงามขนาดในแผ่นผับถึงกับเขียนไว้ว่า
One of Japan’s 3 Most Beautiful Spots
(สามที่ที่ว่านี้ประกอบด้วยไปด้วย Matsushima, Miyajima และ Amanohashidate)

ที่มิยาจิม่านี้มีชื่อเสียงมากในฤดูใบไม้ร่วงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
เพราะเกาะทั้งเกาะจะกลายเป็นสีแดงเพราะที่นี้มีต้นเมเปิ้ล (Momiji) เยอะมากๆ

Otorii Gate


Five-Storied Pangoda

เมื่อเรือเข้าจอดเทียบท่าเรือบนเกาะแล้ว พ้นจากตัวอาคารท่าเรือออกมา
ก็จะเจอกับลานกว้าง จากลานกว้างเราสามารถเลือกเดินเที่ยวได้ 2 ทาง
ถ้าจะไปชมโทริสีแดงกันใกล้ ๆ ก็ไปทางขวา แต่ถ้าอยากไปชมวิวทั้งเกาะก็ไปทางซ้าย
โดยเขามีแผนที่นำทางแจกให้ด้วย

...ถ้าพวกเราเลือกไปทางขวาเราจะเห็นว่า ...
บริเวณริมทะเลเขาจะทำเป็นแนวเขื่อนหินยาวไปตลอดแนว
มีทางเดินขนานไปกับแนวเขื่อน ด้านหน้าจะมองเห็นเจดีย์ห้าชั้นอยู่ไม่ไกลนัก

เดินมาอีกราว 500 เมตร ก็จะเห็นโทริสีแดงกลางทะเลอันเล็ก ๆ
ประตูโอโทริกลางน้ำเป็นประตูสีแดงทำจากไม้การบูรตั้งตระหง่านกลางทะเล
โดยมีภูเขา Misen Mountain เป็นฉากด้านหลัง สัญลักษณ์ของเมืองมิยาจิมะ

ในช่วงปีใหม่ที่เกาะแห่งนี้จะมีเทศกาลฉลอง ชายญี่ปุ่นจะแต่งตัวแบบโบราณ
และมาร่วมทำกิจกรรมและการละเล่นต่าง ๆ ที่ประตูโอโทรินี้
ในหน้าร้อนช่วงเทศกาลยูกาตะก็จะมีการจุดดอกไม้ไฟ

นอกจากนี้...
ที่นี่ก็ยังย่างหอยนางรมกันหน้าร้านยั่วน้ำลายกันเห็นๆ
ซี๊ด~


หอยนางรมตัวโตๆถือเป็นอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อสำหรับผู้มาเยือน
(หอยนางรมทั้งหมดที่ขายในประเทศญี่ปุ่น 60% เป็นหอยนางรมที่เป็นผลิตผลของเมืองฮิโรชิม่า)

แล้วก็ยังมีขนมชื่อดังของเมืองฮิโรขิม่า
(ซึ่งเราไม่ยักกะรู้สึกว่ามันต่างจากขนมไส้ถั่วแดงที่ขายที่เมืองอื่นสักเท่าไหร่)
ชื่อว่า "โมมิจิ" เป็นขนมไส้ถั่วแดงรูปใบเมเปิ้ลนั่นเอง



หลังจากเดินที่มิยาจิม่ากันจนเมื่อยแล้ว
เรากับปะป๊าก็ขึ้นเรือเฟอร์รี่ ต่อด้วยรถรางกลับมายังตัวเมืองฮิโรชิม่า

ซึ่ง..ก็ไม่พ้นเรื่องช็อปปิ้ง อิอิ
(ความกดดันจากคราวที่แล้วยังไม่หมดๆ หุหุ)
โดยเดินทางมาที่ย้านการค้าชื่อว่า Hondori



นัดเจอกับพี่พีระที่นี่...
พี่พีระคือพี่ที่เจอตอนไปทริปสกีนักเรียนไทยเมือต้นเดือนที่ผ่านมา
พี่เค้าเรียนอยู่ที่นี่ แล้วก็ช่วยเป็นธุระเรื่องทื่พักให้ในครั้งนี้

ขอกราบงามๆ...ณ ที่นี้นะคะ

แล้วก็พากันไปกินโอโคโนมิยากิ สูตรฮิโรชิม่า

อาจจะสงสัยว่ามันต่างกับที่เราเห็นๆกันปรกติยังไง
ตามร้านอาหารที่เมืองไทย คิดว่าทั้งหมดนะ
จะเป็นโอโคโนยากิสูตรโอซาก้า คือเอาแป้งเข้าไปผสมกันตัวเครื่องเลย

แต่ของที่นี่จะต่างออกไป
เพราะเป็นการนำแป้งสองแผ่นมาประกบกันหน้าหลัง
ตรงกลางจะเป็นกะหล่ำปลี และเส้นอุเงหรือโซบะ

หน้าตาเป็นแบบนี้ล่ะ..



หลังจากกินเสร็จก็เดินทางไปยังโรงแรม
พักผ่อนเอาแรงเพื่อลุยวันต่อไป

..................................................................

เช้าวันต่อมา...
รู้สึกไม่ค่อยสบาย สงสัยเมื่อวานจะหนักไปหน่อย
เลยไปซื้อยาที่ร้านขายยา

ได้ยามาหนึ่งแผง ราคาเกือบ 2,000 เยน!!
โอ้วว..จอร์จ!!

แต่ก็ต้องทำใจซื้อแลกกินมันไป
เพราะไฮไลท์ของวันนี้อยู่ที่

Peace Memorial Park!



ที่เห็นอยู่นี่คือ Atomic Bomb Dome
เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงตะวันตก ซึ่งเป็นซากที่ยังเหลืออยู่
จากการทิ้งระเบิกปรมาณูลูกแรกของโลกที่เมืองฮิโรชิม่า
ในปี 1945

ตอนนี้กลายเป็นมรดกโลกไปแล้ว
(เสียดายที่ตอนนี้ซ่อมแซมอยู่ ทำให้มีนั่งร้านตั้งเต็มไปหมดเลย

เมื่อเดินไปถึงตรงกลางสวน
ก็จะพบอนุเสาวรีย์ของหนูน้อยซาดาโกะกับนกกระเรียนพับด้วยกระดาษ
นกกระเรียนกระดาษหลากสีจำนวนมากที่ผู้คนช่วยกันพับมา
ถูกจัดเก็บไว้อย่างดีภายในตู้กระจกที่เรียงรายอยู่ด้านหลังหนูน้อย .

..นกกระเรียนกระดาษเหล่านี้เป็นเครื่องหมายเพื่อลำรึกถึงสันติภาพ
ครั้งนั้นหนูน้อยซะดะโกะ(Sadako Sasaki)
ได้รับผลรังสีจากระเบิดปรมาณูเมื่อตอนอายุสองขวบ

สิบปีต่อมาผลกระทบจากรังสีส่งผลให้เธอเป็นลูคิเมีย
ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ท่ามกลางคามเจ็บปวดเธอได้เแต่พับนกกระเรียนตัวแล้วตัวเล่า
อย่างมีความหวังว่าการรักษาจะเป็นผล
เธอเสียชีวิตหลังจากการดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ยาวนานถึง 8 เดือน



เสียดายที่ในพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ดูกันได้
แต่ก็ไม่น่าถ่ายเท่าไหร่หรอก เพราะข้างในก็เป็นรูปภาพจัดแสดง
ผลกระทบจากระเบิดในครั้งนั้น

ซึ่งแต่ละรูปก็น่าสะพรึงกล้ว และทำให้รู้สึกอาลัยกับสงครามในครั้งนั้นมาก
ไม่เห็นแหละดีแล้วอ่ะนะ เหอๆ



ที่เที่ยวที่สุดท้ายที่จะพาไปคือ "ปราสาทฮิโรชิม่า"

ปราสาทนี้มีชื่อที่อีกชื่อหนึ่งว่า "Carp castle"
(หลังคาของบ้านเรือนและปราสาทในฮิโรชิม่าเป็นรูปปลาครับลองสังเกตุดู)

ภายในมีการจัดแสดงประวัติและเรื่องราวของการก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ในยุคเอโดะ
รวมถึงเครื่องแต่งกาย หมวก และอาวุธต่างๆที่ใช้ในทางการทหาร และเรื่องราวการบูรณะ
และก่อสร้างขึ้นใหม่หลังจากได้รับผลกระทบจากระเบิดปรมาณู

ซึ่งเราก็ไม่ได้เข้าไปดูหรอกนะ แบบว่าขี้เกียจอ่ะ เดินมาก็เมื่อยแล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ขึ้นรถไฟชินกังเซ็นกลับบ้าน
เหนื่อยง่ะ..

..........................................

จบแล้วจ้า พาไปเที่ยวฮิโรชิม่าวันนี้
เหนื่อยทีเดียว เพราะเดินทั้งวันไม่มีหยุดหย่อนเลย

ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่พีระที่ช่วยเหลือทำให้ทริปนี้ประสบความสำเร็จ
และก็ข้อมูลดีๆ ที่โบแอบไปขโมยมาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า
เหอๆๆๆๆ

........................................

พบกันใหม่ในตอนต่อไป
ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องอะไร เหอๆๆ -_-"

Friday, January 27, 2006

แว่นใหม่...

เป็นการพยายามอัพเดทไดอารี่ครั้งที่ 13 ของวันนี้
หลังจากไม่สามารถส่งเรื่องเข้า storythai ได้ กว๊ากกกก)

หวัดดีจ้า...
เมื่อวานนี้ปะป๊ามาเยี่ยม
และได้เอาแว่นที่ซื้อกลับไปเมื่อครั้นมาเยี่ยมคราวที่แล้ว
พร้อมกับได้ทำเลนส์สายตามาแล้วด้วยมาให้

มาดูภาพเปรียบเทียบกัน


แว่นเก่า


แว่นใหม่


หน้าเก่า













หน้าเปล่า

















"หน้าใหม่"

หุหุหุ
ไม่มีอะไรจะอัพ ก็เล่นง่ายๆอย่างงี้แหละ

ใครมีอะไรจะคอมเม้นท์กับ "หน้าใหม่" ก็เชิญได้ เปิดรับฟังความคิดเห็น

ส่วนเรารู้สึกว่าชอบหว่ะ "หน้าใหม่" เนี่ย
รู้สึกมันแนวดี...
ต้องเปลี่ยนไปแต่งตัวแนวๆด้วยป่ะ

เหอะๆๆๆ

.......................................................

พรุ่งนี้กับวันอาทิตย์จะไปเที่ยว Hiroshima กับปะป๊า
มันเป็นทริปที่ปัจจุบันทันด่วนมากๆ

พอดีปะป๊ามาเมื่อวาน
เราก็หมดมุขแล้ว ไม่รู้จะพาไปไหน
เลยไปเดินอุเมดะมาสักหนึ่งรอบ
ได้ของกลับมาล้านแปด ฮ่าๆๆๆ
(เก็บกดไม่ได้เข้าเมืองมาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม)

แล้วจู่ๆก็เกิดอยากไป Hiroshima
เลยส่งเมลไปหาพี่พีระ (พี่คนไทยที่เจอตอนทริปสกีนักเรียนไทยน่ะ เค้าอยู่ที่นั่น) เดี๋ยวนั้นเลย
แล้วก็ให้พี่เค้าช่วยหาโรงแรมให้

เราก็พยายามจะจอง Shinkansen
คือที่สหกรณ์มหา'ลัยเนี่ยเค้ามีรับจองตั๋วรถ เรือ เครื่องบินไรงี้ด้วยไง
แล้วคือที่ญี่ปุ่นเนี่ยนะ ถ้าคุณมีใยรับรองการเป็นนักเรียนคุณได้ลดราคามากมาย

แต่เราไม่มีง่ะ...
แบบว่ามาแค่ระยะสั้น เค้าไม่ให้ -_-"

เครียดๆ...
ลดตั้งเยอะอ่ะ รอบละประมาณ 2,000 เยน
สองคน คนละสองรอบก็ 8,000 ละ

ก็เลยติดต่อเต้ง..น้องรักอีกแล้ว

ผ่านไปสองสามชั่วโมง
ด้วยความช่วยเหลือของเต้ง รวมถึงบัตรนักเรียนของเบ๊บ
ทำให้เราได้ตั๋ว Shinkansen ราคานักเรียนมาแล้ว สองใบ

เย้ๆๆๆ....

พรุ่งนี้เจอกัน Hiroshima!!!

.......................................................

(โปรดติดตามเรื่องและภาพในตอนต่อไป)

Tuesday, January 24, 2006

สกี!!! (อีกครั้ง)

ขอโทษที...
โดยเฉพาะน้องเมที่ติดตามไดอารี่พี่เป็นประจำ แต่ไม่ได้อัพมาหลายวัน
พอดีว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีชีพจรรองเท้าทำให้ต้องเดินทางอีกแล้ว

เห็นหัวข้อไดอารี่แล้วคงรู้แล้วสิว่าไปทำอะไร อิอิ

คราวนี้เรากับพี่ๆคนไทยในคันไซอีก 14 คนได้ร่วมเผชิญชะตาชีวิตบนยอดเขาอีกแล้ว
คราวนี้ที่นางาโน่เหมือนเดิม แต่เป็นคนละลานสกี
คราวนี้ที่ที่ไปคือ "Togari Onsen"

เห็นชื่อแล้วคงงงๆอ่ะดิ ตกลงมันเป็นลานสกีหรือมันคือออนเซ็นกันแน่
สรุปแล้วมันเป็นทั้งสองอย่างแหละ
กะว่าเล่นสกีปวดเมื่อยทั้งตัวแล้วไปแช่น้ำร้อนต่อเลย สบ๊ายยยสบายยยย



ออกจากโอซาก้าคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยรถทัวร์
ไปถึงนางาโน่ตอนหกโมงเช้าวันต่อมา...

นอนไม่กลับเช่นเคย แต่เรี่ยวแรงมีเหลือเฟือ
ถือว่าซ้อมแบกชุดสกี รองเท้าสกี และสกี ที่ไม่ใช่ของตัวเองเลยสักอย่างมาแล้ว
จากโอซาก้าไปพลางๆ ฮ่าๆๆๆ คราวนี้ขจีภรณ์มีอุปกรณ์ครบเลย

ไปถึงปุ๊บก็เหมือนเดิม ไม่พูดพร่ำทำเพลง...
เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ลุยหิมะกันทันที

ทริปนี้พี่ๆแก๊งค์สกีสั้นส่วนใหญ่ได้กลับตัวลองไปหัดสโนวบอร์ดกัน
ทำให้เรากลายเป็นมือวางอันดับ 4 สกีสั้นไปเลย ฮ่าๆๆ
(เพราะมีคนเล่นสกี 4 คน..)

ขอแนะนำผู้ร่วมชะตากรรมบนเทือกเขาโทการิ ณ บัดนี้

1. พี่เปิ้ล โกเบ
2. พี่ต้า โอซาก้า (เสื้อเด่นมากกก)
3. พี่หยู เกียวโต
4. พี่โหน่ง เกียวโต
5. พี่อาร์ท โอซาก้า
6. พี่เอ๋ โอซาก้า
7. พี่น็อต เกียวโต
8. พี่เอก โกเบ (ชุดสีได้ใจมากค่ะพี่)
9. พี่ต้น เกียวโต
10. พี่ใหม่ เกียวโต
11. พี่จิ๋ว เกียวโต
12. พี่หลา เกียวโต
13. พี่หนุ่ม เกียวโต
14. พลัง-เซนเซ
15. และ เราเอง หุหุ

ไม่มีรายละเอียดจะเล่ามากมาย เพราะว่าคราวนี้ไปเล่นสกีจริงๆ
วันแรกก็เล่นหมดทั้งลานแล้วเพราะลานเล็กกว่าคราวที่แล้วมาก

แต่คราวนี้...
โดนจับลงเส้นดำ!!
ที่เป็นหน้าผา ตั้งเกือบจะเป็นมุมฉากอยู่แล้ว

แต่ขอบอกว่า ลงมาได้...โดยไม่กลิ้ง น่านนนน
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะไถลงมา ฮ่าๆ อนาถมาก
คือความจริงก็พยายามจะเล่นลงมาให้ได้อยู่อ่ะนะ
แต่....
สกีหลุดกลางหน้าผาเลย เหวอออออ
แล้วจะใส่ได้ไงอ่ะ เลยต้องไถลงมา เหอๆๆ

พลัง-เซนเซบอกว่า "เธอลงมาด้วยท่าที่น่าเกลียดมาก"
เหอๆๆๆๆๆๆ

หลังจากเล่นสกีเสร็จวันแรกสาวๆก็พากันไปแช่ออนเซนกัน
เดินตากหิมะไปนะ...

ที่อยากไปออนเซนมาก เพราะเค้าโฆษณาว่าเป็นออนเซนแอ็ปเปิ้ล!!
งงล่ะสิ...
คือเค้าจะเอาแอ็ปเปิ้ลมาลอยในออนเซนทุกวันพุธและวันเสาร์
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สาวๆเลยพากันเสียตังค์ไปแช่
ห้องน้ำที่โรงแรมมีให้แช่ก็ไม่แช่นะ เหอๆ

พอไปถึง...
มันก็แอ็ปเปิ้ลจริงๆง่ะ...
มีแอ็ปเปิ้ลลอยเป็นลูกๆอยู่ในบ่อประมาณสิบห้าลูก
บางลูกมีลอยคนกัดอีกตะหาก เหวออออออ
กล้ากัดไปได้ไงหว่า

ก็แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไมส่ผิดหวังตรงที่ได้แช่ออนเซนกลางแจ้ง
เป็นหยินหยางมากๆ ตัวอุ่นเพราะน้ำมันร้อนแต่หัวเย็นเพราะมีหิมะตกใส่หัว

วันแรกจบลงด้วยกลางวงไพ่ยามค่ำคืน....

.......................................

วันที่สอง...
เหมือนเดิม เล่นสกี
วันนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่เรื่องนึงคือ
ตอนที่กลุ่มคนไทยกำลังโหวกเหวกๆกันถ่ายรูปกันบนยอดเขานั้น
มีคนญี่ปุ่นคนนึงเข้ามาทัก
"ถ่ายรูปให้ไหมคะ"...
เป็นภาษาไทย!!!

เหวอออออออ
แถมพูดอะไรแกฟังรู้เรื่องหมดเลย แบบว่าเก่งมาก
แกบอกว่าแกเรียนภาษาไทยที่โรงเรียน
และเคยไปแลกเปลี่ยนที่มหา'ลัยบูรพาหนึ่งปี

พอถามว่าชื่ออะไร แกบอกว่า
"ชื่อเล่นชื่อกระต่าย"....น่าร๊ากกกกเน๊อะ
แต่ไม่มีรูปคุณกระต่ายให้ดู เพราะแกบอกว่าแกมาถ่ายรูปให้เฉยๆ

แล้วก็เล่นสกีกันจนหยดสุดท้าย...

ปิดท้ายด้วยการแช่ออนเซ็นกลางหิมะเหมือนเดิม

อาการปวดจากการเล่นสกีก็คลายลงหลังจากการแช่ออนเซน
แต่หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงมันก็กลับมาปวดใหม่

โอยยยยยยยยยยยยยยยยย

รู้สึกมีกล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหนจริงๆเลยง่ะ

หกโมงเย็น เดินว่าหิมะที่ตกหนักไปขึ้นรถทัวร์
หกโมงครึ่งรถทัวร์ก็ออกเพื่อเดินทางกลับโอซาก้า...

.......................................................

ถึงโอซาก้าตอนตีห้า....
ลากกระเป๋าเสื้อผ้า จับรถไฟรอบตีห้ายี่สิบกลับบ้าน
และเตรียมตัวออกไปเรียน..
ท่ามกลางหิมะที่ตกพรำๆ

โอยฟิตจริงๆเลยเรา...

......................................................

จบแล้วค่ะ...
สกีทริประยะสั้นในครั้งนี้
ขอบคุณพี่ๆทุกคนทำให้วันนี้โบสามารถลงเส้นแดงได้
โดยลดจำนวนการล้มได้เป็นอย่างมาก

ครั้งนี้เจ็บตัวน้อยลง เพราะกลิ้งน้อยลง เหอๆ

ไม่รู้ว่าฤดูกาลนี้จะมีโอกาสได้เล่นสกีอีกหรือเปล่า
แต่จะเก็บประสบการณ์สกีนี้ไปตลอดเลยค่า

จะได้ไปคุยกะเค้าได้...
ว่าคนเมืองร้อนอย่างเราก็เล่นสกีเป็นเหมือนกัน

เน๊อะ~!

Thursday, January 19, 2006

พา "ชิโร่จัง" ลูกชายคนใหม่มาอวด หุหุหุ

พอดีว่า..เมื่อไม่กี่วันมานี้
นั่งคุยกับเต้งทาง MSN อยู่ดีๆ
แล้วก็เปรยๆ ขึ้นมาว่า...

"อยากได้ ipod ง่ะ..."

ไม่ทันไร...
เหมือนเสก...

คราวนี้ได้รู้ซึ้งว่า Yahoo Auction นี่มันสามารถหาซื้ออะไรก็ได้ทุกอย่างจริงๆ
คนจะซื้อรถก็ได้รถ คนจะซื้อขนมก็ได้ขนม จะซื้อโทรศัพท์ สกี แว่นกันแดด กางเกงยีนส์ ตั๋วคอนเสิร์ต

ฯลฯ

ก็ได้กันมาหมดแล้ว...

คราวนี้...เราอยากได้ ipod ในราคาย่อมเยา..
มันก็โผล่มา...-_-"

ก็อย่างที่บอกอ่ะ มันเป็น auction หรือก็คือประมูลนั่นเอง
มันก็แล้วแต่ดวงอ่ะว่าจะสู้ราคาไหวหรือเปล่า
แต่ทั้งเต้งและเก่งต่างก็เชียร์ให้เราซื้อ เพราะบอกว่าคุ้มชัวร์ๆ

จะไม่คุ้มได้ไงล่ะ...
คนที่พาเจ้านี่มาประมูลเนี่ย
ดันไปซื้อถุง "ฟุคุบุคุโระ" หรือถุงโชคดีที่เราเคยซื้อตอนวันปีใหม่จำได้เปล่า มา
แล้วเจ้าตัวบอกว่ายังไม่ได้ใช้ ไม่ได้แกะออกมาจากกล่องด้วย
คือจับได้แต่ไม่เอาว่างั้นเหอะ เลยเอามาหาตังค์ในเน็ทซะนั่น

เราก็นะ...
ใจง่ายอ่ะ มันบอกว่าคุ้มเราก็เชื่อ

สรุปว่า...ได้ ipod nano มาสนนราคา 25,000 เยน (ประมาณ 8,750 บาท)

.........................

หลายๆคนอาจคิดว่ามันก็ราคาพอๆกะเมืองไทยนี่หว่า
แต่คิดผิดซะแล้วทุกท่าน...
มันไม่ใช่แค่ ipod nano ตัวเดียวที่เราได้มา

แต่ยังได้ของแถมมาอีกเพียบ!!!

แล้วของแท้ง่ะ...

........................

วันนี้ของเพิ่งมาส่งที่บ้านเต้ง
เราก็รีบปั่นจักรยาน (ลงเขา...เดี๋ยวพอขากลับจะหอบรับประทาน)
ไปถึงด้วยเวลารวดเร็ว (ก็บอกแล้วว่าลงเขา)

และได้ยลโฉมลูกชายคนใหม่เป็นครั้งแรก หุหุ
"ชิโร่จัง" (ตั้งชื่อแล้วอีก เว่อร์จริงชั้น)

ต่อมาคือขบวนของแถมที่ได้รับมาด้วย
1. สติ๊กเกอร์กันรอยขีดข่วน (ติดเครื่องไปแล้ว โทษทีไม่ได้ถ่ายไว้)
2. ซองซีลีโคน 5 สี และที่ม้วนสาย อีก 5 สี (ขายเต้งกับเก่งไปเหลืออย่างละ 2 สี)
3. Lanyard Headphones
4. สายรัดแขน
5. เสื้อ 1 ตัว
6. เข็มกลัด 1 อัน

หลังจากที่ได้รับอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน...
ทั้งเต้งและเก่งก็บอกว่า...
กลายเป็นบุคคล full-option ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยของแท้ไปแล้ว

ฮ่าๆๆๆ...

รู้สึกรัก Yahoo Aution จังเลย...

สุดท้าย...ขอได้รับความขอบคุณจากเต้งและเก่งเป็นอย่างสูง
ที่ทำให้วันนี้เรามี ipod เป็นของตัวเอง
ขอบคุณคร้าบบบบ~

.................................................

ปล. ชื่อที่ตั้งไว้นะ ตั้งไว้เล่นๆอ่ะนะ เราคงไม่เดินๆแล้วเรียกชื่อ ipod "ชิโร่จัง"ๆ ไปหรอก เหอๆ
ยังมีสติอยู่ทุกคนๆ....เชื่อกันหน่อย

Tuesday, January 17, 2006

ของน่ารักที่เพิ่งได้มา...

หวัดดีจ้า~
วันนี้อารมณ์ดีอยากจะมาเขียนไดอารี่
ก็เลยพยายามหาของรอบๆตัวมาเล่าให้ฟังบ้าง
เดี๋ยวฟังแต่เรื่องไปเที่ยวจะเบื่อซะก่อนป่าว...

ไม่มีอะไรหรอก พอดีเมื่อวันก่อนเกิดอยากออกกำลังกาย
เลยออกไปถีบจักรยานเล่น
ไอ้ตอนขาไปก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่ขากลับนี่หอบเป็นบ้าเลย
เพราะทางไปมันลงเข้าง่ะ ทางกลับมันก็ต้องขึ้นเขาเป็นธรรมดา

ที่หอบนี่ไม่ใช่เพราะถีบจักรยานขึ้นเขานะ
แต่เหนื่อยเพราะลากจักรยานขึ้นมาเนี่ยแหละ เหอๆๆ

เข้าเรื่องๆ..
ก็ถีบจักรยานไปที่สถานีรถไฟที่ถัดจากสถานีบ้านเราไปหนึ่งสถานี
ชื่อว่า Hotarugaike...ที่นั่นมีห้างเล็กๆห้างนึงตั้งอยู่
ก็เลยแวะเข้าไปกะว่าจะไปหาซื้อชุดวอร์มเอามาวิ่งง่ะ
...
เอาจริงเอาจังมะกับการวิ่ง แต่จนมาถึงวันนี้ยังไม่ได้วิ่งเลยหว่ะ เหอๆๆ

ชุดวอร์มน่ะ..ก็ได้มาน่ะนะ
ด้วยราคาถูกแสนถูก ทั้งชุดพันเยน!!
ควักตังค์ในกระเป๋า (ที่ร่อยหรอ) ออกมาจ่ายแทบไม่ทัน

แต่ที่นอกเหนือไปกว่านั้นก็คือ...
ได้อะไรมาเอ่ย ไปดูกัน...



กาน้ำชานั่นเอง แหะๆ

นั่นแหละ...ไม่มีอะไรหรอก แค่จะเอาของมาอวดเฉยๆอ่ะ
จะได้ขนกลับเมืองไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เจ้ากาน้ำชาพร้อมแก้วสุดน่ารักตัวนี้

..........................

จบจากเรื่องของน่ารักแล้ว..
ขอเข้าเรื่องความโก๊ะของตัวเองนิดนึง

เหตุเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เอง..
ก็ทำกับข้าวใช่ป่ะ ก็ผัดๆ เปิดเครื่องดูดควันไปด้วย
พอทำเสร็จก็เอากะทะออกมา เทกับข้าวใส่ชาม
แล้วคือควันจากชามข้าวมันฟุ้งทั่วห้องเลยอ่ะ

ก็เลยคิดอะไรไม่รู้ เอาชามไปวางตรงเตาที่เพิ่งผัดเสร็จใหม่ๆ
เพื่อจะให้เครื่องดูดควันตรงนั้นมันดูดควันขึ้นไป

ผลปรากฏว่า...

ตรงก้นชาม เป็นรูไปแล้ว 4 รู!!!

รอยที่ว่ากิดขึ้นเนื่องจากเตามันยังร้อนอยู่น่ะ เพิ่งผัดเสร็จใหม่ๆ
แล้วเจือกเอาพลาสติกไปวาง มันก็ละลายสิเธอ~

คิดในแง่ดี...
มันก็ดูเป็น design ใหม่ดีนะ เหอๆๆ (หรือเปล่า...-_-")

...............................................

วันนี้ไม่มีอะไรแล้วจ้า..
ขอบคุณที่ติดตามผลงาน
ไว้มีเรื่องอะไรสนุกๆ หรือมีเรื่องโก๊ะๆอีกจะมาเล่าให้ฟังนะ

บ๊ายบายจ้า..

Sunday, January 15, 2006

ไปกิน snow crab ที่คิโนซากิ..เบื่อปูไปอีกนาน -_-

หวัดดีจ้า...
มีหลายคนมาบอกว่าอากาศที่เมืองไทยร้อนๆหนาวๆ
ดีเน๊อะ ที่นี่หนาวตลอด...
แต่เราก็ผ่านวิชาความอดทนขั้นที่หนึ่งมาได้แล้ว

นั่นคือ...นอนโดยไม่เปิดฮีตเตอร์~!!
กะว่าเดือนหน้าค่าไฟลดลงอย่างน้อยครึ่งนึง วะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ

แต่การอดทนขั้นที่สองยังไม่สามารถผ่านไปได้
นั่นคือ...การอดทนที่จะ "ไม่กิน" นั่นเอง
ซึ่งอันนี้ทำให้เราเศร้ามากเลย งืองือ

...............................................

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา..
เราและเพื่อนบ้านโทโยนากะได้ร่วมการเดินทาง road trip
ไปยังเมืองคิโนซากิ จังหวัดเฮียวโกะ และรวมถึงการหอบเงินไปเป็นจำนวนมาก
เพื่อจะไปลงทุน ฝากท้องไส้ไว้กับการ "กินปู"

สงสัยอ่ะดิ...
ปูบ้านเรามีให้กินตลอดปี
ที่นี่ก็มีเหมือนกัน แต่ว่าพันธุ์นี้จะได้รับอนุญาติให้จับได้
เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้นแหละ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมคนจำนวนมากถึงแห่แหนกันไปกินปูที่นั่น

ออกเดินทางออกจากโอซาก้า..โดยรถตู้ไฮโซที่เช่ามา
(มี navigator ด้วย หรูมั้ยอ่ะ หุหุ...ค่าเช่าก็หรูไปด้วย หุหุ)
ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณสี่ชั่โมง

โดนมีคนขับสลับกันสองคนคือพี่นัท และเก่ง
ซึ่งถึงแม้บางคนจะเมารถ มึนหัวเป็นอย่างมาก
เพราะระหว่างการเดินทาง ตามถนนจะเต็มไปด้วย
หิมะที่ละลายแล้ว หรือที่เรียกง่ายๆว่า "น้ำแข็ง" นั่นเอง เหอๆ
ทำให้การประคองรถไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นัก
แต่ทุกคนก็มีถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ ไม่มีเจ็บป่วยแต่อย่างใด

พอมาถึงก็อาบน้ำอาบท่าและ ได้เวลา..กินปูแล้วววว เย้วๆ

เมนูอาหารประกอบด้วย (จากซ้ายไปขวา)
ปูหม้อไฟ ซาชิมิ ปูนึ่ง และปูดิบ ทั้งหมดที่เห็นนี่สำหรับสามคนนะ เหอๆ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง...ทุกคนเริ่มหยิบปูขึ้นมาจ้วงทันที
คำแรกน้ำตาแทบไหล...นอกจากก้ามจะใหญ่มากแล้ว
ยังอร่อยอีกด้วย มากๆ....

กิน..
กิน..
กิน..

นี่คือขนาดขาปูหนึ่งข้างงงงงงง

กิน...
กิน...
กิน...

ทำไมไม่หมดซะทีวะ
กิน...
กิน...
กิน...

โอย...พอเหอะ ทรมามากเลย
คือมันเยอะมากอ่ะ ถึงมันจะอร่อยนะ แต่พอกินมากๆความอร่อยเลยกลายเป็นเลี่ยนไป
ตบท้ายด้วยข้าวต้มอีกตะหาก...

โอยปวดท้องง่ะ...
แล้วเมื่อไรห่วิชาความอดทนขั้นสองจะฝึกสำเร็จเนี่ย~~~~

เมื่อกินกันเสร็จ ตอนกลางคืนก็สังสรรค์กันตามประสาวัยรุ่น เหอๆ


สมาชิกทริปประกอบด้วย เต้ง เรา พี่นัท มุก เก่ง พี่อ้น พี่เค พี่ดาว และเอ็ดดี้ (แฟนพี่ดาว)

เมื่อสังสรรค์กันเสร็จก็แยกย้ายกันไปนอน...

..................................................

ตื่นเช้ามา...
ป้าพนักงานโรงแรมมาปลุก
คือแอบเบื่อป้ามาก ป้าเหมือนอาจารย์โรงเรียนประถม
คอยคุยเวลาตลอด เวลากิน เวลานอน เวลาอาบน้ำ เวลาตื่น
ป้าจะเป็นคนคอยมาจิกๆๆๆ ตลอด
คือแต่ว่ายังงั้นก็เหอะ ป้าก็น่ารักดีอ่ะนะ เหอๆๆ

ล้างหน้าล้างตา กินข้าวเช้า...
แล้วก็ออกเดินทางไปยัง Kinosaki Marine World!!

ที่นี่สมาชิกบางคนขอตัวนั่งรออยู่ข้างนอก
ส่วนเรา...ถึงแม้กระเป๋าตังค์จะผอม (แต่ตัวอ้วน) แต่ก็ยังฟันฝ่าค่าตั๋ว
เพื่อเข้าไปดู "น้องเพนกวิน" อิอิ

แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพนกวินน่ารักมากอ่ะ
คือเค้าเอามันออกมาเดินข้างนอก ให้ดูกันจะจะไปเลย
ถึงแม้ระหว่างที่น้องเพนกวินเดินผ่านมาจะสร้างความเหม็นให้อากาศไปหน่อย
แต่ก็น่ารักจริงๆง่ะ

หลังจากนั้นก็ไปดูโชว์โลมา
ซึ่งเหมือนจะเป็นไฟล์ทบังคับของการไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้วอ่ะมั้ง
เหมือนไปสวนสัตว์ต้องไปดูเสือ ไปเชียงใหม่ต้องไปดูแพนด้าประมาณนั้น
เกี่ยวไหมอ่ะ เหอๆๆ

พอจบจากโชว์ปลาโลมา ก็เดินดูสัตว์น้ำมากมายตามรายทาง
แล้วก็ออกมาพบสมาชิกคนอื่นที่ข้างนอก

เดินทางต่อไปยัง "คิโนซากิออนเซ็น"
แต่เราเศร้า...
อยากเข้าออนเซ็นมาก อยากแช่น้ำง่ะ
แต่...
แต่...
เมื่อคืนเกิด accident ขึ้น
ทำให้อาบน้ำรวมไม่ได้
เฮ้อ...เป็นผู้หญิงนี่มันเศร้าจริงๆหว่ะ งืองือ

ก็ระหว่างที่คนอื่นไปแช่ออนเซ็นกัน
ขจีภรณ์ก็เดินดูของเรื่อยเปื่อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินอ่ะนะ -_-"
ท่ามกลางฝนที่ตกพรำๆ ลมพัดให้หนาวเป็นระยะๆ

Snow Crab ขายอยู่ที่ย่านการค้าของคิโนซากิ

จบท้ายด้วยการเอาเท้าแช่ออนเซ็น
เอาวะ...ตัวไม่ได้ลง เท้าลงก็ยังดี เหอๆ

คือที่บริเวณสถานีรถไฟจะมีบริการให้เอาเท้าแช่ออนเซ็นฟรี
มีคนมาต่อแถวแช่เต็มเลย
ซึ่งเราก็เป็นคนหนึ่งในนั้นแหละ เหอๆๆ

แล้วก็เดินทางกลับบ้าน...
ออกจากคิโนซากิตอนสี่โมงครึ่ง มุ่งหน้าไปโอซาก้า...

.............................................

จบแล้วค่ะ...ทริปกินแหลกครั้งนี้
ถึงแม้จะไม่ได้แช่ออนเซ็นอย่างที่อยากทำ
แต่ก็มีความสุขมากกับการกินปู และการที่ได้มากับทุกคน
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ

สุดท้าย...
ขอบคุณพี่นัทค่ะ ^^

Wednesday, January 11, 2006

ว่าด้วยเรื่องความน่าสะพรึงกลัวของบิลค่าไฟ

สำหรับใครที่เข้ามาอ่านเรื่องสกีทริป ตามลิงค์ไปเลยค่า~
http://chocaholic.storythai.com/?topic=ล้มลุกคลุกคลานกับสกีทร..&page=1649930&pnum=0&g=gift

.....................................................

หวัดดีจ้า~
วันนี้จริงๆแล้วเราอยู่บ้านแหละ
คิดว่าจะตื่นเช้ารับวันใหม่ด้วยความสดใส
นั่งทำรายงานด้วยความแช่มชื่น

อ่อ...เคยบอกหรือเปล่าว่าหยุดทุกวันพุธน่ะ เหอๆ
เรียนสบ๊ายสบาย~

แต่ทว่า...
ก่อนตื่นนอนแป๊บนึงอ่ะนะ
ได้ยินเสียงกุกกักๆอยู่ตรงประตูห้อง

ไอ้เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ได้คิดจะไปเปิดประตูด้วย
เพราะโดนพนักงาน NHK หลอนไปเมื่อวานซืน

ขอเล่าเรื่อง NHK ก่อนละกัน
คือได้ยินมาว่าพนักงาน NHK นี่ก็แอบคล้ายพนักงานขายประกัน
ทุกคนพยายามหลบที่จะไม่เจอหน้าเค้า เพราะไม่อยากจ่ายตังค์
(รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นเองก็ยังไม่จ่ายเลย)
และเมื่อเจอหน้าแล้วก็จะถูกตื้อๆๆๆให้จ่ายตังค์ให้จนได้
อยากรู้จัง ว่าเค้าเอาคนพวกนี้ไปอบรมที่ไหนหว่า
แล้วมักจะเลือกพนักงานเป็นลุงแก่ๆน่าสงสารด้วยนะ

แต่ท่าทางดวงเราจะเป็นอันสมพงษ์กับพนักงาน NHK เป็นอย่างมาก
เค้ามาหาเราสองเดือน เราอยู่บ้านทั้งสองเดือน
แล้วออดประตูห้องเสียด้วยนะ แกก็ยังเคาะประตู
ไอ้เราก็นึกว่าเป็นคนรู้จัก เพราะคนไม่รู้จักเค้าจะไม่นึกว่าเราอยู่บ้านอ่ะ
ถูกป่ะ...กดออดแล้วไม่ออกมา แสดงว่าไม่อยู่ดิ

พอเปิดไป...จ๊ะเอ๋!
เจอลุงมาเก็บตังค์อีกแล้ว
ไอ้เราก็ทำท่าทางเป็นคนต่างชาติเต็มที่
"ไม่เข้าใจค่ะ" ... "ไม่เข้าใจค่ะ" ตลอกเวลา
ทั้งๆที่ความจริงแล้วฟังออกอ่ะนะ ถึงแม้จะไม่รู้คำศัพท์แต่ก็เดา context ออกแหละ

แหม..ก็เล่นเดินมาพร้อมเครื่องเก็บตังค์ขนาดนี้ -_-"

เดือนนี้เลยโดนไป 2,790 เยน...

เดือนหน้าตั้งใจมั่นว่า...จะไม่ยอมเปิดประตูรับเป็นอันขาด เหอๆๆ

......................................

เอาล่ะ...
มาเข้าเรื่องเมื่อเช้าต่อ...

หลังจากที่รู้สึกว่ามีเสียงกุกกักหน้าประตูไม่นาน เราก็ตื่นนอน
แล้วก็เปิดคอม แล้วก็มองไปหน้าประตู

มีจดหมายอยู่ที่ประตูหน้าห้อง
อ่อ...สงสัยจะเป็นบิลค่าไฟ

เดินไปด้วยความรื่นรม
คงไม่มีเดือนไหนมันแพงเท่าเดือนที่แล้วอีกแล้วมั้ง

ลั้นล้า~...ลั้นลา~...ลั้นลา~...

แกะซอง...

8,806 เยน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

โอ้โหเฮะ...ค่าไฟอะไรหว่าเกือบหมื่น
เดือนที่แล้วเราว่าเราออกไปพึ่งใบบุญบ้านคนอื่นเพื่อประหยัดไฟบ้านตัวเองบ่อยแล้วนะ
ทำไมมันยังแพงอยู่อีกหว่า...

ร้อนเลย...
ปิดฮีตเตอร์ทันที
แล้วก็โบ้ยเลย....เพราะแกแน่ๆ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

แล้วมันก็หลอน...
ตอนทำรายงานอยู่เหลือไปเเห็นบิลค่าไฟวางอยู่แล้ว
คนปกติคงรู้สึกหนาว...แต่เรารู้สึกร้อนหว่ะ
เพราะถ้าหนาวคงต้องเปิดฮีตเตอร์ใช่มะ เดี๋ยวเดือนหน้าเห็นค่าไฟแล้วหนาวกว่าเดิม
เลยบังคับตัวเองให้รู้สึกร้อนแทน เหอๆๆๆ

...........................................................

โอยหลอน...

นี่แหละ...คือความน่าสะพรึงกลัวของบิลค่าไฟ
ระวังมันจะไปเยือนที่บ้านคุณสักวัน

เราขอเตือน เหอะๆๆ เหอะๆๆๆ

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด....อย่ามาหลอกช้านนนนนน

Sunday, January 08, 2006

ล้มลุกคลุกคลานกับสกีทริปนักเรียนไทยในนางาโน่

หวัดดีจ้า...
จากที่บอกไปหลายครั้งแล้วว่าจะไปเล่นสกี
ทำให้หลายคนประหลาดใจมากว่า
ว่าคนที่เกลียดกีฬา จนถึงขั้นไปลดวิชาแบดมินตันอย่างขจีภรณ์เนี่ยนะ
จะไปเล่นสกี!!!

แต่มันเกิดขึ้นแล้วล่ะนะ
แล้วมันก็ถอนตัวไม่ทันซะด้วย เพราะจ่ายตังค์ไปแล้วเกือบสามหมื่นเยน ฮ่าๆๆ

วันนี้กลับมาแล้ว...(ถึงสดๆร้อนๆตอนตีห้าเมื่อเช้านี้เอง)
และประทับใจสกีทริปครั้งนี้ จนไม่อยากจะปล่อยให้นาน
เพราะกลัวว่าจะลืมความรู้สึกนี้...
เลยมาอัพไดให้อ่านกันรวดเร็วทันใจ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง..ขอเริ่มเรื่องราวณบัดนี้~~

ภาพภูเขาที่เมืองนางาโน่...ปกคลุมด้วยหิมะ นี่คือลานสกีของเรา

ออกจากบ้านเมื่อคืนวันพุธที่ 4...
ออกจะทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะบริษัททัวร์แอบประสานงานกับรถทัวร์ไม่ดี
ตอนแรกต้องไปรับสมาชิกที่เกียวโต...
รถออกจากท่าประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว ก็งงๆทำไมมันไม่ถึงเกียวโตซะทีหว่า
ไปๆมาๆ...คนขับรถไม่รู้ค่ะ และเลยเกียวโตมานานแล้ว เลยต้องวนกลับไปรับ

ไปถึงนางาโน่ตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า
เราก็หลับมั่งไม่หลับมั่ง...อย่างว่าล่ะบนรถน่ะนะ ที่ก็แคบ รถก็โคลง
ขนาดกินยาแก้เมารถที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอนไปแล้วนะ ยังไม่สามารถทำให้เราหลับได้

ตอนแรกก็มุ่งหน้าไปที่โรงแรมก่อน แล้วก็เอาข้าวของวางไว้
ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ก็เดินฝ่าหิมะที่ตกอยู่พรำๆไไปยังสถานที่ที่เราจะไปเล่นสกีกัน
สถานที่ที่เราจะไปเล่นคือ Escal Plaza และเส้นทางที่เราจะไปเล่นก็มีหน้าตาแบบนี้...

เมื่อจัดการเช้าเสื้อผ้า รองเท้า และสกีเสร็จแรียบร้อยแล้ว
ก็ได้เวลาออกไปเล่นสกีกัน...เย้!!

มันก็ดีใจอยู่ได้แป๊บนึงอ่ะนะ...
แต่พอเหยียบไปบนหิมะแล้วลื่นจะตกพื้นลงมาหลายรอบก็เริ่มหวั่นๆ
เออ...ถอนตัวตอนนี้จะทันไหมว้าาาา

แต่ก็นะ...ไหนๆก็มาแล้ว ลองสักครั้งจะเป็นไรไป

อ่อ...ลืมบอกไป สกีทริปครั้งนี้ไม่ใช่มีแค่นักเรียนไทยในโอซาก้า และเกียวโตเท่านั้นนะที่ไป
แต่ยังมีโตเกียว ฮิโรชิม่า นาโกย่า และโยโกฮาม่าอีกด้วย ทำให้รู้จักคนหน้าใหม่เพียบเลย
อีกอย่าง..สมาชิกทริปนี้ร่วมเจ็ดสิบชีวิต ทำให้มีการแบ่งกลุ่มเป็น 6 กลุ่ม

ส่วนเราอยู่กลุ่มสีแดง...มีสมาชิกคือ
1. พี่พลัง
2. พี่แนน
3. พี่ติม
4. พี่จี้
5. พี่รุ้ง (นาโกย่า)
6. พี่แพรว (นาโกย่า)
7. พี่นิ (โตเกียว)
8. พี่โอ๊ค (โตเกียว)
9. พี่แหวน (โตเกียว)
10. พี่เต็ก (โตเกียว)
11. พี่หยก (โตเกียว)

สมาชิก สีแดงจ้า

...แล้วอยากบอกว่า สีแดงบ้าพลังมาก
เพราะทั้งๆที่ทั้งกลุ่มมีคนเล่นเป็นแค่สามคนคือพี่พลัง พี่นิ และพี่โอ้ค
คนอื่นมือใหม่หมด...
แต่พี่แกพาขึ้นไปบนยอดเขา...
ดูตามแผนที่ข้างบนก็คตือจุดสูงสุดของยอดเขานั่นเอง...

ทำให้วันแรกทั้งวัน ทุกคนกลิ้งลงมาจากเขา
รวมทั้งเราด้วย...
จากยอดเข้าลงมาทางเส้นทางสีเขียวทางขวาได้แค่ครึ่งทาง
ใช้เวลาตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น

จริงๆแล้วมันก็ไม่น่าจะนานขนาดนั้นหรอกนะ
แต่ว่ามันเสียเวลาในการแงะตัวเองออกมาจากกองกิมะที่กลิ้งไปปักร่วมร้อยรอบ
ตอนแรกกะว่าจะนับแล้วว่าล้มทั้งหมดกี่ที...แต่ท่าทางจะนับไม่ถ้วนเลยเลิกล้มไปกลางคัน
เพราะตอนแรกยังเบรคไม่เป็นไง...ขจีภรณ์จะหยุดเมื่อไหร่ก็ล้มเมื่อนั้น
คือพอเห้นหิมะกองใหญ่ๆ กะว่ากรูไม่ตกเขาชัวร์ ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปทันที...

เรื่องที่ฮามากก็คือ...
ตอนนั้นสี่โมงเย็นแล้วกอนโดล่า (กระเช้าไฟฟ้า) มันจะปิด
แล้วพวกมือใหม่ยังลงไปได้แค่ครึ่งทางอย่างที่บอก เลยต้องนั่งกระเช้าลงไปข้างล่าง
พวกพี่ๆสามคนที่เล่นเป็นแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวไปเจอกันข้างล่าง
ไอ้พวกเราพอลงกระเช้าอย่างสบายใจลงไปถึงข้างล่างแล้ว ก็คุยๆกันว่าไปหาร้านนั่งรอกันเหอะ
ระหว่างมองๆหาร้านอยู่นั้น..ทองไปเห็นหัวอยู่ไวๆ

เฮ้ย!!! ทำไมพี่แกลงมาหมดแล้ววะ!!!

คือมันเร็วมากจอร์จ...!!!

จบการเล่นสกีวันแรกไปด้วยความทุลักทุเลอย่างมากมาย
ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ก็สงสัยอยู่เหมือนกันทำไมถึงปวดแขนกะปวดคอได้หว่า
ทั้งๆที่ใช้แค่ขาอ่ะนะ....
แล้วมาคิดออกก็เมื่อ...รู้ส่าตัวเรานี่ล้มไปทุกท่าทางแล้ว
เป็น expert ด้านการล้มไปแล้วมั้ง ไม่มีท่าไหนที่ยังไม่ล้ม เหอๆๆ

ล้มอยู่ก็ยังยิ้มออกนะนั่น

ตอนกลางคืนก็มีกิจกรรมร่วมกันทุกคน...
เราก็นะ ได้เด่นโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าดันไปช่วยพี่ๆเค้าคิดเกม
แล้วเด็กที่เคยผ่านค่ายมานับไม่ถ้วนอย่างเรา ก็มีเกมเต็มหัวเลยอ่ะนะ
เกมที่เลือกมาเพราะคิดว่าเล่นแล้วฮาสุด และเวิร์คที่สุดในการที่จะเล่นกับคนจำนวนมาก
นั่นก็คือ "Killer!!~"

แต่ Killer ครั้งนี้ไม่เหมือนปกตินะ เพราะนอกจากเราจะมี Killer มีตำรวจแล้ว
ฝั่งโตเกียวก็ยังเสนอให้มีอีกตำแหน่งคือ "พระเจ้า" ซึ่งมีความสามารถชุบชีวิตได้
นอกจากนี้แล้วยังมีสองชีวิตด้วย คือถ้าพระเจ้าโดนฆ่าไปแล้วจะทำให้กลายเป็นคนธรรมดา

ระหว่างที่เราพูดๆไป ถุงสลากเข้ามาอยู่ในมือ เมื่อเปิดขึ้นมาแล้วก็ตกใจ
คือปากยังพูดอยู่เลย ...ก็จับได้ Killer ซะงั้น!! เอาล่ะ..ฆ่าใครก่อนดี ฮ่าๆๆ

คนแรกที่ซวยคือพี่โอ้คที่ยืนอยู่ข้างหน้าพอดี ตัวเค้ายังไม่ทันจับสลากเลย...ตายซะแล้ว เหอๆ

จบคืนแรก...ด้วยอาการปวดเมื่อย

...............................................................

เช้าวันที่สองตื่นมา...โอยปวดไปทั้งตัวเลย
ดีนะที่เมื่อคืนกินยาลดไข้ดักไว้ ทำให้วันนี้ตื่นมาด้วยอาการปกติ
ออกจากโรงแรมโดยลากสกีและรองเท้าสุดหนักไปด้วย

อ่อ...ลืมบอกไป วันนี้มีแข่งสกีสำหรับมือใหม่ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มกลุ่มละสามคน
เราก็ดันได้เป็นตัวแทนสีแดงซะงั้น โดยเทรนเนอร์กลุ่มเราทั้งสามคนบอกว่า
ยกให้เราเป็นมือวางอันดับหนึ่ง เมื่อวานไม่น่าซ่าทำเก่งไปเร็วกว่าคนอื่นเล๊ยยย~~

พอไปถึงสถานที่แข่ง คือบริเวณยอดของเส้นทางสีเขียวทางซ้ายมือ
ขึ้นลิฟท์ไปอ่ะนะ...แต่พอมองลงมาแล้วก็เกิดอาการป๊อดทันที...เหวอออ มันสูงง่ะ

แผนของกลุ่มเราก็คือให้พี่รุ้งซึ่งเคยเล่นมาแล้วหนึ่งครั้งลงไปก่อนเลยไม่ต้องรอใคร
ให้พี่แหวนเกาะหลังพี่นิลงไป ส่วนเราให้ลงไปเองตามยถากรรม... ฮื่อๆๆๆๆๆ TTwTT

พอเริ่มสตาร์ทปุ๊บ....
เราเองก็อดขำไม่ได้อ่ะ ยังไม่ถึงสามเมตร ทุกสีล้มกลิ้งกันหมด เป็นแถวหน้าหระดานเลย
คือถึงแม้เราจะวิ่งผ่านเค้าไปได้ แต่ก็ล้มช้ากว่าเค้าประมาณสามนาที

คือกะว่ากรูคงตายแน่อยู่บนนนี้แหละ เพราะคนมันเยอะมากอ่ะ แล้วเราก็ยังหลบไม่เป็นไง
แล้วก็ได้ยินเสียงสวรรค์มาจากข้างหลัง...
"น้องโบ เกาะหลังพี่มั้ย"....
คือเสียงพี่พลังนั่นเอง แล้วมีหรือจะปฏิเสธ รีบเกาะเลย
จนไปถึงเนินสุดท้ายพี่เค้าก็บอกให้ปล่อย แล้วให้ลงไปเอง
ลงมาถึง...หน้าตาแช่มชื่นมาก เหมือนลงมาเอง เหอๆๆๆๆ

ใครที่เข้ามาอ่านแล้วเพิ่งรู้ความจริงตอนนี้ก็ขอโทษทีนะคะ
คือโบไม่ได้เก่งหรอกค่ะ แต่โบโกง เหอๆๆๆๆ
หลังจากแข่งเสร็จ เราก็วนเวียนเล่นอยู่บนเส้นทางสีเขียวนั่นอ่ะแหละประมาณสามสี่รอบ
รอบแรกพี่นิก็มาเล่นด้วยอยู่ดีๆ ยังลงไปจากเนินไม่ได้เลยพี่เค้าก็ทิ้งเราไป
แง๊~~~ บอกว่าอย่าทิ้งหนู~~~~ มาปล่อยไว้บนเนินเลยง่ะ

พอบ่ายสาม...ก็กลับไปนอน เหอๆ

ตอนกลางคืน...
เฉลย Killer....คือเราเองก็งงๆอ่ะนะว่าทำไมประเจ้ามันไม่ชุบชีวิตใครเลยวะ
อ่อ...พระเจ้ามันคือคนที่สองที่เราฆ่าไปเมื่อวานนี้เอง หลังจากพี่โอ้คประมาณสามนาที
ฮ่าๆ...กะเก่งจริงๆเลยเรา

สรุปแล้ว Killer คือเรา ซึ่งโง่ไปฆ่าตำรวจซะงั้น
พี่พลัง ที่ฆ่าคนได้แม้กระทั่งทางโทรศัพท์ และ c-mail
และต๊อบ (เกียวโต) ที่โดนจับได้ เพราะดันไปฆ่าคนในกลุ่มตัวเองอย่างเดียว
ก็โดนจับได้ตามระเบียบ....แต่เกมนี้ก็ประสบความสำเร็จไปได้อย่างดี อิอิ

คืนนี้...ได้ยินเสียงห้องอื่นเค้าเล่นไพ่กันจนน่าจะไปเปิดเป็นโรงบ่อนกันได้แล้ว
ห้องเรา ตอนแรกก็กะจะนอนกันอยู่แล้ว พี่หลาก็เอาตัวซุกผ้าห่มแล้ว
พี่ใหม่ก็มีแปรงสีฟันอยู่ในมือ กำลังจะไปแปรงฟัน ส่วนเราก็ถอดแว่นเตรียมนอนแล้ว
แต่ทว่า...นั่งเม้าท์กันร่วมสองชั่วโมง เหอๆๆๆๆ

จบวันที่สอง...ด้วยอาการปวดเมื่อยเช่นเคย

......................................................................

วันที่สาม....
ตื่นสาย เมื่อคืนนอนไม่หลับ สงสัยว่าจะนอนตอนกลางวันไปอ่ะนะ
ก็เช็คเอาท์ตอนสิบโมงเช้าแล้วก็ออกไปยังลายสกี

วันนี่สมาชิกกว่าครึ่งถอนตัวไปแล้ว และเปิดวงไพ่กัน
โดยมีเจ้าที่คือพี่ต้าที่เมื่อวานเจ็บเท้า วันนี้เท้าบวมเป็นเท้าช้างนอนเฝ้าที่อยู่ ทำให้ไม่มีใครมานั่งเลย เหอๆ

เราก็...คิดๆอยู่อ่ะนะ ว่าจะเล่นอีกดีไหม คือคิดว่ากรูจะรอดไหมเนี่ยกับกีฬาประเภทนี้
แต่ก็นะ รวบรวมกำลังใจเฮือกสุดท้าย...
เอาหน่ะ...ไหนๆก็มาแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เล่นอีกไหมสกีเนี่ย
เอาให้มันครั้งเดียวเป็นไปเลยแล้วกัน...

แล้วก็ปีกกล้าขาแข็งตามกลุ่มพี่ๆที่ผ่านการเล่นสกีมาโชกชนมาแล้วทุกคน
ขึ้นไปยังยอดเขาอีกครั้ง....
และ...ตั้งใจมั่นว่า วันนี้จะลงเส้นทางสีแดง!!!~
โดยมีพี่พลังซึ่งรับปากซะมั่นเหมาะว่าจะทำให้เราเล่นเป็นให้ได้
หลังจากผ่านไปสองวันแล้วเรายังโง่อยู่

วันนี้...ประสบความสำเร็จ จากวันแรกที่ล้มลุกคลุกคลานที่เส้นเขียวขวาสุดไปได้แค่ครึ่งทาง
วันนี้....นอกจากจะเล่นเขียว แล้วยังลงเสียแดงอีกด้วย แถมล้มน้อยกว่าเดิมประมาณ 80%

กินข้าวเที่ยง...
แล้วก็ยังไปเล่นต่อ....

แต่ตอนบ่ายนี่ทุลักมากอ่ะ...เพราะนอกจากจะไปลงเส้นแดงเต็มๆแล้ว ซึ่งเป็นเนินสุดชัน
แถมยังมีหิมะตกเยอะมากๆ ทำให้มองอะไรไม่เห็นเลย มองเส้นทางไม่เห็นเลย
มอง curve อะไรไม่เห็นทั้งสิ้น ชนกันกระจายเลย

แต่พอผ่านพ้นจากเส้นทางสีแดงมาได้แล้ว
ทำให้พอเราไปเล่นเส้นทางที่แข่งเมื่อวาน จากล้มไม่เป็นท่ากลับไม่ล้มเลยสักครั้ง
แถมลงขาคู่ เบรค เลี้ยงหลบซ้ายขวาได้อย่างสวยงามมมมม...

ไม่อยากจะเชื่อเลย...ว่าเราจะทำได้เหมือนกันนะเนี่ย!!!!

จบการเล่นสกีวันนี้ ด้วยความสำเร็จ ดีใจเอ๊ยดีใจจังงง...

ตอนเย็นก็อาบน้ำอาบท่า เล่นไพ่ไปตามเรื่องตามราว ถ่ายรูปร่วมกัน
และบอกลา.....

จบแล้วค่ะ สกีทริปครั้งนี้...
ได้ความประทับใจ และความสนุกกลับมาเพียบ
ขอบคุณทุกคน...ที่ทำให้วันนี้ของโบเป็นวันที่สวยงาม...สุดๆไปเลย

ขอบคุณค่ะพี่พลัง พี่นิ พี่โอ้ค ที่ช่วยสอนโบตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนวันนี้ลงสีเขียวได้อย่างสวยงาม
ขอบคุณพี่ใหม่ พี่หลา เพื่อนคุยคนสำคัญ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน คุยได้ทุกสถนการณ์ อิอิ
ขอบคุณพี่ๆสีแดงทุกคนที่ร่วมล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แม้จะเจ็บตัวทุกคน แต่ก็หนุกหนานกันสุดๆค่ะ
ขอบคุณพี่น็อต พี่ปอย และพี่ๆทุกคนที่ช่วยทำให้งานนี้เกิดขึ้นได้
สุดท้าย...ขอบคุณสมาชิกทริปทุกคน ที่ทุกคนต่างก็เป็นส่วนเติมเต็มทำให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบ

ขอบคุณมากค่ะ...

หวังว่าคงได้ไปเที่ยวกันอีกเน๊อะ ^^

Wednesday, January 04, 2006

ของขวัญวันปีใหม่

หลังจากที่ได้ผิดหวังจากการที่ไม่ได้รับโปสการ์ดวันปีใหม่
จากเพื่อนคนญี่ปุ่นที่บอกว่าจะส่งมาให้ แต่ไม่ได้ส่งมาให้ มาแล้ว

วันนี้ไปเปิดตู้จดหมายด้วยความบังเอิญ
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะได้จดหมายจากใครหรอก
เพราะรู้สึกว่าตู้จดหมายเรามันจะว่างจากการมีจดหมายข้างใน
(นอกจากใบปลิวร้านพิซซ่า และบิลเก็บตังค์ต่างๆ) มานานพอสมควร

แต่แล้ว...
ดีใจอ่ะ มีจดหมายมาถึงเราสามฉบับ

จาก บี อิง และ ออนซ์

ขอบคุณมาก m(_ _)m

ซึ้งใจมากมายอ่ะ

ไม่รู้สิ รู้สึกว่าทุกครั้งที่เราเปิดตู้จดหมายแล้วเจอจดหมายจริงๆที่มีถึงเรา
แล้วมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกดีกว่าตอนเช็คเมล แล้วมีเมลมาถึงเรา 40 ฉบับ
ซึ่ง 37 ฉบับเป็น forward mail และ อีก 3 เป็นเมลจาก hi5 ที่บอกว่ามีคน
มา request อยากมาอยู่ร่วม network ของคุณ

ถ้าใครว่างๆก็ส่งจดหมายมาหาเราได้นะ อิอิ
เข้าใจอ่ะว่ามันแพง ส่งอีเมลถูกกว่ากันเป็นไหน เร็วกว่า แถมเราก็ออนไลน์ทุกวันอีกตะหาก
แต่เราก็ยังเป็นคนนึงที่ยังชอบความ classic ของการส่งจดหมายหากันมากกว่าง่ะ

เรื่องมากจริงเน๊อะเรา อิอิ

ของขวัญปีใหม่จากอิง ขอบคุณมาก ^^
เอาแปะฝาห้องเรียบร้อยแล้วนะ

อ่อ...เผื่อใครอยากส่งจดหมายมาหาเรา แล้วไม่รู้ที่อยู่
ไม่หวงที่อยู่นะจ๊า~ สามารถร่อนจดหมายมาได้ที่

Osaka University International House (room C-439)
1-18 Machikaneyama-cho
Toyonaka Osaka 560-0043
JAPAN

ปล. คืนนี้กำลังจะออกเดินทางไปเล่นสกีที่ Nagano เดี๋ยวกลับมาวันเสาร์คงมีเรื่องเล่าให้ฟังเยอะแยะอ่ะ เพราะนี่เป็นการเล่นสกีครั้งแรกของเรา จะเอาประสบการณ์พร้อมภาพสวยๆมาให้ดูกันนะ

Tuesday, January 03, 2006

สวัสดีปีใหม่จ้า ^^

หวังว่าคงไม่ช้าเกินไปที่จะบอกว่า "สวัสดีปีใหม่"!!!
ขอโทษที่ที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนวันที่สามแล้วถึงจะเพิ่งมาเขียน
พอดีว่าเราไม่ได้กลับบ้านอ่ะ เหอๆๆๆ

ที่ไม่ได้กลับบ้านก็เพราะว่าว่าสิ้นปีและวันปีใหม่ได้ไปค้างที่บ้านโฮสแฟมิลี่มาแหละ
เราว่าเราต้องมีปัญหากับรถเมล์แน่ๆ เพราะขึ้นกี่ครั้งเราต้องหยอดผิดช่อง
ไปหยอดช่องแลกเหรียญทุกที!! แต่คราวนี้จ่ายตังค์นะ เพราะว่าถามคนขับได้แล้วว่า
"ตรงไหนคะ?" เหอๆๆ

พอไปถึงบ้านโอสแฟมิลี่เรา ไม่พูดพร่ำทำเพลงเค้าก็พาออกไปกินยากินิขุ (เนื้อย่าง) เลย
โดยวันนี้ครอบครัวเค้าพร้อมหน้ามาก ก็อย่างว่านะวันปีใหม่
แต่ที่พิเศษคือคุณพ่อเค้า (คนที่ทำงานที่เมืองไทยมา 17 ปีแล้วแต่พูดไทยไม่ได้น่ะ)
ก็กลับมาจากเมืองไทยด้วย

หลังจากกินยากกินิขุเสร็จก็ไปเดินห้างจนบ่ายแก่ๆ แล้วก็กลับบ้าน
แต่ก็ไม่เห็นใครซื้ออะไรอ่ะนะ ก็แอบงงๆจะมาเดินทำไมหว่า

ระหว่างที่รอไปวัดตอนปีใหม่ก็ขอแนะนำเด็กๆในบ้านนี้ก่อน
หลังจากที่เคยบอกไปคราวที่แล้วแล้วว่าบ้านนี้มีเด็กสองคน
เป็นลูกๆของโนริจัง ลูกสาวคนโต

อายุจัง 3 ขวบ


ชุนโตะคุง 10 เดือน

น่ารักมะ อิอิ

มื้อเย็นก็มีการกินโซบะตามประเพณี
คล้ายๆคนจีนอ่ะ คือโซบะเส้นยาวๆก็เปรียบเสมือนการมีชีวิตที่ยืนยาว

และระหว่างที่รอไปวัด ก็นั่งดูรายการพิเศษช่อง NHK
ซึ่งเราว่าทุกบ้านในประเทศนี้คงดูกันอ่ะ
ซึ่งเนื้อหาของรายการก็ไม่มีอะไร นอกจากเอานักร้องในประเทศ
ที่ดังๆอ่ะนะ มาร้องเพลงกัน ซึ่งรวมทั้งหมด ถ้าจำไม่ปิดก็ 40 กว่ากลุ่มได้

ตอนที่นั่งดู เราก็แอบงงเหมือนกันว่าทำไมเราร้องได้หลายเพลง
จนโนริจังถามว่า โบจังนี่รู้จักเพลงเยอะนะ เค้ายังไม่รู้จักเยอะขนาดนี้เลย
เค้าคงสงสัยอ่ะ นังนี่มันพูดไม่เห็นได้เลย แต่ร้องเพลงได้ทุกเพลง เหอๆๆ
สงสัยการไปคาราโอเกะบ่อยๆมันจะเวิร์คตอนนี้อ่ะมั้ง หุหุ

ห้าทุ่มครึ่ง ก็ออกไปวัดแถวบ้าน


ตามประเพณีญี่ปุ่นจะมีการตีระฆังทั้งหมด 108 ครั้ง ในคืนวันสิ้นปี
เราก็ไปยืนรอท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ยามค่ำคืน พอใกล้เที่ยงคืนแล้วก็มีพระออกมา และทุกคนที่ยืนรออยู่ก็ไปตีระฆังคนละ 1 ครั้ง

พอตีเสร็จก็ไปกินโมจิถั่วแดงกัน ก็ตามประเพณีอีกน่ะแหละ
วันปีใหม่ต้องกินโมจิ แต่อันนี้ไม่ได้ถามหว่ะว่ามันหมายความว่าไง เหอๆ โทษทีศึกษามาไม่ดี


เสร็จแล้วก็กลับมาที่บ้าน
เราก็ฝืนตัวเองมากในการเข้านอนตอนตี 1
เพราะรู้สึกว่าไม่ได้นอนเวลานี้มาหลายเดือนแล้วง่ะ
ยิ่งพอเข้าช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแล้วยิ่งแล้วใหญ่
เวลานอนปรกติคือตี 3 - ตี 5
แต่ว่าที่ต้องรีบเข้านอนเพราะ ต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้าในเช้าวันปีใหม่นั่นเอง

................................................................

เช้ามา 7 โมงเราก็ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน
วันนี้ทุกคนมาพร้อมหน้าเหมือนเดิม หลังจากที่โทโมจังลูกสาวคนเล็กกลับบ้านไปเมื่อวานนี้

เช้าวันปีใหม่ คนในครอบครัวจะมาทานข้าวร่วมกัน
เป็นอาหารที่พิเศษสำหรับวันปีใหม่อีกแล้ว
แต่ละอย่างทีความหมายว่าให้มีความสุข ร่ำรวย ประมาณนั้น

ซึ่งเราก็กินอะไรไปมั่งไม่รู้อ่ะนะ
อ่อ ลืมไปบอกไป ว่าเมื่อคืนได้ชั่งน้ำหนักหลังจากที่ไม่ได้ชั่งมาสามเดือนตั้งแต่มาถึงที่นี่
ผลปรากฎว่า.............

ได้รับของขวัญวันปีใหม่ ด้วยการเห็นว่าน้ำหนักตัวเองขึ้นจากตอนที่มาถึงที่นี่

5 กิโลกรัม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

โอ้แม่เจ้า!!!

ทำให้เช้าวันนี้ ความอยากอาหารหายไปหมด...
ไม่อยากกินไรเลย กินเป็นพิธีแค่นั้นเอง

นี่สินะ...ผลของการกินเค้กและไอติมไม่ยั้งตลอดหลังจากการประกวดนางนพฯจบลง
เศร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ทำให้มีปฏิญาณปีใหม่อย่างไม่ต้องคิดเลยว่า จะลดน้ำหนัก งืองือ
เดี๋ยวก่อนกลับบ้านเดือนมีนาฯ จะกลับไปสู่สภาพเดิมให้ได้!!!
ความจริงแล้วอยู่ที่นี่อ้วนแค่ไหนก็เฉยๆอ่ะ เพราะมันใส่เสื้อผ้าเป็นสิบชั้นได้
เลยปิดบังร่างกายที่แท้จริง แต่ทว่า...กลับเมืองไทยก็คงใส่เสื้อผ้าชั้นเดียวเหมือนเดิม
ไม่อยากจะคิด...

เข้าเรื่องต่อนะ...
หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกไปศาลเจ้าแถวบ้าน

เคยได้ยินมานานแล้ว
ว่าเค้าไม่รู้กันว่าจริงๆแล้วคนญี่ปุ่นนี่มีศาสนาจริงๆหรือเปล่า
เค้าว่ากันว่าจะเห็นชัดเจนตอนวันปีใหม่
เพิ่งจะมาเห็นวันนี้แหละ
เพราะอะไรน่ะเหรอ...
ก็ดูสิ เมื่อคืนยังไปสวดมนต์ที่วัดอยู่เลย
เช้ามา ก็ไปขอพรที่ศาลเจ้าชินโตซะแล้ว

หลังจากเสร็จจากศาลเจ้าแถวบ้าน ก็ไปศาลเจ้าประจำเขต
ชื่อศาลเจ้า Ibaraki ซึ่งที่นี่คนเยอะมากกกกกกก



ภายในงานก็เหมือนงานวัดทั่วไป มีของกินขายตามรายทาง
แต่ขจีภรณ์ไม่กินค่ะ....
ไม่กิ๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

ขอพรเสร็จสรรพก็กลับบ้านกัน
แล้วพอตอนเย็นเราก็ออกเดินทางไปเกียวโต เหอๆๆ

งานนี้ต้องขอได้รับความขอบคุณจากครอบครัวฟูจิตะมากนะคะ
ที่ทำให้เราได้ฉลองปีใหม่ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นจริงๆ
แถมให้แต๊ะเอียเราอีกตังหาก....ทำให้จากเดือนนี้ที่เรากรอบ
กลับมีเงินขึ้นมาทันตาเห็น!!

ขอบคุณนะค๊าาา~~


.............................................................

ยัง...
คิดว่าจะจบแล้วเหรอวันปีใหม่
ยังไม่จบๆ

เมื่อกี้เกริ่นๆไว้แล้วหนิว่านั่งรถไฟต่อไปเกียวโต
สงสัยอ่ะดิ ทำไมไม่กลับบ้าน

พอดีว่า เมื่อสองวันก่อนพี่ใหม่ชวนไปกินข้าวที่บ้านวันปีใหม่
แล้วเราก็ใจง่าย ไปกินซะงั้นอ่ะ
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะค้างหรอก แต่ก็อย่างว่าอ่ะ กินข้าวเย็น
จะกลับโอซาก้ามันคงจะดึกเกินปาย ก็เลยหอบผ้าหอบผ่อนจากที่ไปค้างบ้านโฮส
มาค้างบ้านพี่ใหม่ต่ออีก 1 คืน เหอๆๆ (ประหยัดไฟบ้านตัวเองมานอนบ้านคนอื่น เหอๆ)

วันนี้มีเพื่อนๆพี่ใหม่มากันหลายคน คือ
พี่น็อต พี่หนา พี่ต้น พี่แพร และดาว (มาแลกเปลี่ยนเหมือนกันที่เกียวโต เป็นเพื่อนจิรเดชด้วยนะ เหอๆ)

แล้วคืนนี้...ก็กินอีกเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้สึกสึกผิดเท่าไหร่ เพราะมันเป็นผักทั้งนั้นอ่ะ
กินสุกี้น่ะสุกี้เข้าใจป่าววว

กินเสร็จก็นั่งคุยเล่นกันไปตามประสา พอคนอื่นๆกลับไฟพี่ใหม่ก็ทำงาน
เราก็นั่งดูหนังไปสองเรื่องแล้วก็เข้านอน

..................................................................

เช้ามา...
ไม่เช้าอ่ะ ตื่นเที่ยง เหอๆ
ก็ออกไปช็อปปิ้งฉลองวันปีใหม่ และเงินที่ได้มาใหม่ในตัวเมืองเกียวโต

อ่อ เคยบอกหรือเปล่าว่าแอบรอวันนี้มานานมาก
เพราะวันปีใหม่ร้านรวงที่นี่จะลดราคากันกระหน่ำเลย
แต่ก็ไม่ได้เดินอะไรมาก คือเข้าแค่ Benetton และ Zara (ได้ข่าวว่ากำลังจะมาเปิดที่ Paragon หนิ)

อ่อ แล้วปีใหม่ของที่นี่แต่ละร้านเค้าจะมีการขายถุงโชคดี
ในราคาต่างๆกันไป ซึ่งถ้ามียี่ห้อหน่อยก็จะประมาณหมื่นเยนอ่ะนะ
ในถุงก็จะมีของเยอะแยะมากมายครบเซ็ท คือซื้อไปคุ้มเงินที่เสียไปชัวร์ๆอ่ะ
แต่มันอาจจะได้ของที่ไม่ต้องการไง

งานนี้...ฉลาด เหอๆ
เรา พี่หนา และพี่ใหม่ ได้หุ้นกันซื้อถึงโชคดีของ Benetton มาถุงนึง แล้วก็คิดว่าจะแชร์ของในถุงกัน
พอเปิดถุงดู ก็ได้เอาราคาสินค้าทั้งหมดมาบวกกัน รวมทั้งสิ้นกว่าห้าหมื่นเยน!! โอคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
พี่หน้าบอกว่าปีหน้ามาซื้อใหม่ดีกว่า คุ้มๆ

แต่ปีหน้าหนูไม่อยู่แล้วง่ะพี่ เหอๆๆ

หลังจากเดินเข้าร้านนู้นร้านนี้เสร็จสรรพ พร้อมกับเสียเงินแต๊ะเอียที่ได้ไปเมื่อวานจนเกือบหมดแล้ว
ก็ได้เวลาร่ำลา....กลับโอซาก้า!!!

เตรียมตัวเก็บแรงเพื่อจะไปเล่นสกีในอีกสองวันต่อไป
ซึ่ง...เช็คอากาศแล้ว ลบเป็บสิบค่ะคุณผู้ชม

เฮือก!!!!

................................................

สุดท้ายนี้ ก็สวัสดีปีใหม่นะทุกคน
แล้วเจอกันใหม่

แล้วเราจะผอม!!!!