zz *Bow's Journey Under the RainBow*: November 2005

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Wednesday, November 30, 2005

ว่าด้วยเรื่องปาร์ตี้ และการบริโภค อืม...

หวัดดีจ้าาา
ได้ข่าวว่าจะสอบกันแล้ว อ่านหนังสือกันถึงไหนแล้วล่ะ

ส่วนเรา...
วันศุกร์นี้จะสอบแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำไรเลย
มัวแต่นั่งเล่นเน็ท นอนอืดอยู่บ้านเนี่ยแหละ
เหอๆๆๆๆ

...............

ว่าด้วยเรื่องหัวข้อ...
ไม่รู้ทำไมนะ ท่าทางคนญี่ปุ่นจะชอบพวกเรื่องปาร์ตี้เป็นพิเศษ
ตั้งแต่เรามีนี่ก็มีหลายปาร์ตี้แล้ว และท่าทางว่ามันจะผุดขึ้นมาเรื่อยๆซะด้วย

แต่ก็ดีแล้วล่ะ
เพราะไอ้เรื่องกิน (ฟรี) เนี่ย...เราชอบอ่ะ เหอๆๆๆ

เมื่อวานนี้ทาง International House หรือก็คือทางหอพักของเราเอง
ได้มีการจัดงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรก็ไม่ทราบ..
แต่ท่าทางจะเป็นงานเลี้ยงต้อนรับอ่ะมั้ง

มีการเชิญคนใหญ่คนโตของทางมหา'ลัยมา
รวมถึงเชิญทางสถานกงศุลของไทยมาด้วย

งานนี้กินฟรีค่ะ...เหอๆ ไม่พลาดๆ
ไปถึงงาน..สายนิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้สนใจพวกพิธีการอะไรงี้เลย
มองของกินอย่างเดียวว่ามันมีอะไรบ้าง

น่ากินอ่ะดิ อิอิ


ต่อด้วยมุมของหวาน ซี๊ดดดด

พอเริ่มเปิดให้กินกันเท่านั้นแหละ
เราว่าเราเร็วแล้วนะ...แต่ทำไมของมันหมดเร็วจังหว่า
ของที่อยากกินสลายไปอย่างรวดเร็ว

ดีนะ...ที่เรามุ่งไปที่มุมซูชิเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่ามันคงต้องหมดเร็วแหงๆ
แต่ก็ทำให้พลาดมุมของหวานไป แย่หว่ะ..

อิจฉาอ่ะดิ อิอิ

อ่อ...ในงานมันไม่ได้มีแค่ของกินอย่างเดียวเท่านั้นนะ อย่าเข้าใจผิด
ยังมีการแสดงของตัวแทนประเทศต่างๆที่นำมาแสดงกันด้วย
ซึ่งก็มีแค่ อินโดฯ เกาหลี และอะไรอีกประเทศไม่รู้ดูจีนๆ

แต่เราก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่อะ เหอๆ..

อ่อ..อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเค้าเชิญทางสถานกงศุลไทยมาด้วย
ซึ่งเราก็เคยเจอแล้วทั้งนั้นอ่ะ เพราะว่านะ..เราได้โดนลากไปทำงานซึ่ง
คลุกคลีกับกงศุลมาหลายครั้งพอดู อืม..

งานนี้..คุยกับพี่โจ้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กงศุลไทยประจำนครโอซาก้า
คุยไปคุยมา...อ่าว เป็นรุ่นพี่คณะนี่หว่า เหอๆ
พี่เค้ารุ่น 39 อ่ะ ภาคปกครอง...หลังอาจารย์เอกหนึ่งรุ่นนะเค๊อะ
พี่เค้าบอกสอบปลัดไม่ติดตอนนั้น แต่สอบติดกระทรวง เออดีเน๊อะ
คุยไปคุยมา..อ่าวเป็นพี่โรงเรียนอีก แถมสายศิลป์-ฝรั่งเศสเหมือนกันอีก
เค้าก็ถามเราว่าเรียนฝรั่งเศสกับใคร เราก็บอกกับอาจารย์วาสนา
เค้าก็บอกเค้าก็เรียนเหมือนกัน ตอนนั้นอาจารย์ยังสาวและสวยมาก...
เอ่อ...นึกภาพไม่ออกเท่าไหร่ อิอิ

แต่ก็นะ...ไม่รู้ทำไม พอของกินเริ่มหมด
คนก็เริ่มสลายโต๋กันหมด...
แสดงว่าทุกคนนี่ไม่ต่างจากเราเลย กะมากินกันเต็มที่เลยเน๊อะ

พี่โจ้ ท่านรองกงศุล พี่นัท มุก มิโฮซัง (เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ นร.ต่างชาติ) และเราเอง

.....................................................................

เออ...จะว่าไป ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองบริโภคมากขึ้นไงก็ไม่รู้หว่ะ
คือข้าวอะไรงี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก กินน้อยอยู่แล้ว
แต่หนักไปพวกขนมกับไอติมหว่ะ

แบบว่า...เป็น ice-cream lover อ่ะนะ
เห็นไอติมเป็นไม่ได้ต้องลองๆ...
แถมขนมก็มีหลากหลายเหลือเกิน เข้าใจใช่มะ
(เดี๋ยวเดือนมีนากลับบ้านจะซื้อไปฝากนะ จะได้เข้าใจเรา เหอๆ)

ดีนะ...
มีคนบอกว่าเค้กที่นี่อร่อยมาก
แต่เรายังไม่ได้เริ่ม...กลัวว่าเริ่มแล้วจะหยุดไม่ได้ แล้วจะแย่นะเค๊อะ เหอๆ

ไว้วันหลังเริ่มแล้วจะมาบอกละกัน ว่ามันอร่อยจริงป่าว งิงิ

................................

ส่วนอาการคิดถึงบ้าน...
ก็ยังเหมือนเดิมหว่ะ...

มีพี่คนนึงเคยถามว่า...
โบว์คิดว่าตอนเช้ากับกลางคืนเนี่ย ตอนไหนอาการหนักที่สุด
เราก็บอกว่าจริงๆแล้วพอๆกันอ่ะนะ แต่ว่าเราจะชอบตอนกลางคืนมากกว่า

เพราะว่าอะไรอ่ะเหรอ...

เพราะเรารู้สึกว่า
เมื่อเวลากลางคืนมาถึง มันก็เป็นสัญญาณที่บอกเราว่า
วันนี้กำลังจะผ่านไปแล้ว ตอนนี้...เรากำลังจะผ่านพ้นวันที่แสนทรมานไปอีกหนึ่งวัน

แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า...
ก็จะรู้สึกว่า วันใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย

เฮ้อออออออ
ดูอาการหนักมะ...

คิดถึงทุกคน

Sunday, November 27, 2005

ซวย...

ตอนแรกคิดว่าหยุดสุดสัปดาห์นี้จะไม่มีเรื่องเล่าให้ฟังซะแล้ว
เพราะว่าคิดว่าจะใช้เวลาในการอยู่บ้านเฉยๆ

แต่แล้ว...
เหตุก็เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เอง
ขณะที่กำลังเล่นเน็ท คุยกับรุ่นน้องคนนึงอยูเพลินๆ
ระหว่างนั้นก็กำลังโหลด flash เรืองนึงมาดู

ทันใดนั้นเอง...
คอมก็ดับ!!!

ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร...
เพราะว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วสองสามครั้ง

แต่คราวนี้มันไม่ธรรมดา....
เพราะว่าเครื่องมันสั่งให้เข้า window ใหม่หลายครั้งมาก
แต่แล้วมันก็ไม่สามารถเข้าได้
ยังไงก็เข้า window ไม่ได้

ในใจก็คิดว่า...ซวยแล้วกรู ทำไงดี
ในใจก็แอบมีความหวังว่ามันคงกลับมาเป็นเหมือนเดิม

แบกคอมขึ้นไปหาพี่นัทที่ห้อง...
พี่นัทเห็นแล้วเกินเยียวยา เลยผ่าตัดลูกชายเราเพื่อจะแงะ harddisk ออกมา
และจะได้เอาข้อมูลที่ยังเหลืออยู่ไปไว้ในเครื่องเค้า

ในระหว่างที่เค้าแงะคอมอยู่นั้น น้ำตาเราแทบไหล
ถ้าเกิดมันหายไปหมดนี่หมดสิ้นเลยนะเนี่ย
รูปถ่ายที่ถ่ายไว้ตั้งแต่เข้ามหา'ลัย
รวมถึงเพลงต่างๆที่โหลดไว้ตั้งแต่ ม.ปลาย
และรายงานที่ทำไว้มาตลอดชีวิต...หายไปหมดแน่ๆ

โอย..ใจจะขาดรอนๆ

เวลาผ่านไป....
ข่าวดีก็คือ ข้อมูลใน drive d: ยังอยู่ครบ
นั่นหมายความว่ารูปถ่ายและเพลงยังอยู่

แต่ข่าวร้ายก็คือ...
รายงานที่เคยทำไว้หายไปหมดเรยยยยยยยยย T.T

โถ...อุตส่าห์ทนุถนอมไม่เคยลบทิ้ง
แถมคิดว่าจะเอารายงานที่เคยทำไว้ มาดัดแปลงส่งที่นี่ซะหน่อย
ทำไมชีวิตเราช่างโหดร้ายอย่างนี้~~~

แล้วถ้าเราไม่มีคอมนี่เราจะแย่มากเลยนะ
เพราะจะไม่มีอะไรทำ....
นี่ขนาดมีคอม มีเน็ทเล่น มีอะไรทำแล้วนะ
ยังร้องไห้วันเว้นวันขนาดนี้....ถ้าไม่มีคอมเจ๊ตายแน่

สรุปแล้วเมื่อคืนนี้เลยยืมคอมเครื่องเก่าที่สุดของพี่นัทมาใช้
เฮ้อ....มีชีวิตผ่านไปได้หนึ่งวัน

................................

วันนี้...ตื่นแต่เช้า ถียจักรยานไปบ้านรุ่นน้องคนนึง
ให้มันจัดการกะคอมเราให้
ตอนแรกก็ทำใจจัดการล้างสมองลูกชายเราก่อน
เศร้าเหลือเกิน....

แล้วก็ลง windows ใหม่ และโปรแกรมอื่นๆ

ดีนะ..ที่มีรุ่นน้องอีกคนนึงที่มีแผ่นโปรแกรมจากพันทิพย์มากมาย
ทำให้เราสะดวกสบายไปกว่าครึ่ง...
อยู่บ้านนั้นอยู่ครึ่งวัน

แล้วก็ถีบจักรยานกลับบ้านด้วยความสบายใจ
หลั่นล้า..วันนี้มีเน็ทใช้แล้วเรา

พอมาถึงบ้าน...
ต่อสายเน็ท...

อ่าว...

ทำไมเล่นไมได้หว่า...
ลองแล้วลองอีกหลายวิธี
แต่ก็เข้าไม่ได้

เจ๊จะกรี๊ดค่ะเจ๊จะกรี๊ดดดดด

ก็เลยโทรไปหาแม็ค เพราแม็คเคยล้างสมองเครื่องเรามาก่อน
ตรวจสอบอาการไปมา
สรุปว่า....

ไม่ได้ลง driver card lan -_-"

ตอนนี้...ก็ยังใช้ไม่ได้นะจริงๆแล้ว
แต่เราได้ถอดการ์ดจากเครื่องของพี่นัทที่ยืมมาเมื่อวานมาใช้ไปพลางๆ
แก้ขัดไปก่อน..แล้วกำลังจะดำเนินการโหลดมาใช้ภายในคืนนี้

โอย...เครียด
ตอนแรกคิดว่าวันนี้จะนั่งท่องภาษาญี่ปุ่น
สรุปว่าไม่ได้ทำเลย...เพราะมัวแต่ง่วนกะลูกชายชั้นอยู่เนี่ย

เฮ้อ~~

Wednesday, November 23, 2005

Host Family Day

หวัดดีจ้าทุกคน
ได้ข่าวว่าตอนนี้ที่เมืองไทยอากาศเริ่มเย็นแล้ว
รักษาสุขภาพกันด้วยน้า

ส่วนที่นี่อากาศก็หนาวขึ้นๆทุกวัน
อาการหวัดที่ทำท่าจะหายๆก็ไม่หายซะที เอาเป็นว่ามันไม่แย่ลงก็รู้สึกดีแล้ว
คาดว่าถ้าครบเดือนเมื่อไหร่มันคงหาย ตามเคย -_-"

.....................

วันนี้ไปหาโฮสแฟมิลี่มาแหละ
ตื่นแต่เช้าเลยนะ...แล้วก็ออกจากบ้านแต่เช้า
เพราะกลัวว่าที่ไม่ได้หลงทางมานานมากๆแล้วเนี่ย
มันจะกลับมาหลงอีกครั้ง....เพราะวันนี้ต้องขึ้นรถเมล์ไปอ่ะนะ

นัดสิบโมง ออกจากบ้านแปดโมงครึ่งอ่ะ แล้วไปถึงตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง
แต่จะบอกอะไรอย่างนึง...
วันนี้ขึ้นรถเมล์ฟรีแหละ
คือไม่ใช่อะไร...เพราะตอนที่เคยขึ้นที่โตเกียวกะที่นี่อ่ะนะ มันค่อนข้างต่างอ่ะ

ที่โตเกียว ขึ้นประตูหน้าจ่ายตังค์เลย
ที่นี่ ขึ้นประตูหลังจ่ายตังค์ตอนลง
ตอนแรกขึ้นไปก็งงๆอ่ะนะ...เหย จ่ายตังค์ตรงไหนหว่า
พอเริ่มมีคนลงกันก็เริ่มจับทางได้ว่า เอ่อ..จ่ายตังค์ตอนลงหว่ะ
แล้วด้วยความมั่นใจก็หยอดเหรียญลงกล่องนึงไป แล้วก็มีเงินไหลออกมา
ก็กวาดเหรียญมาหมดเลย...ตังค์ทอนแน่ๆ ฮ่าๆ

แต่ที่ไหนได้...ไอ้ตู้ที่หยอดเหรียญห้าร้อยเยนลงไปอ่ะ
มันคือตู้แลกเหรียญอ่ะ แล้วเงินที่กวาดมาหมดเนี่ย มาดูตอนลงจากรถแล้ว
มันคือเหรียญร้อยเยนห้าเหรียญ....อ่าวไม่ได้หักไปเลยนี่หว่า

อันนี้ต้องขอโทษการขนส่งประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
คือหนูไม่ได้ตั้งใจจะโกงนะคะ...คือหนูไม่รู้อ่ะค่ะ
หวังว่าเงินสองร้อยกว่าเยนที่หนูไม่ได้จ่ายไป คงไม่กระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นนะคะ เหอๆ

วันนี้ต้องขอบคุณคุณเปี๊ยกมาก ที่อุตส่าห์สละเวลาไปเป็นเพื่อน เพราะบ้านโฮสเราอยู่แถวบ้านแกพอดี
เพราะไม่งั้นวันนี้เราอาจจะได้เพียงแค่นั่ง "เงียบ"

วันนี้รู้สึกว่าจะเป็นวันครบรอบแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของบ้านนี้
เลยมีบาร์บีคิวปาร์ตี้ แบบว่ามากันทั้งบ้าน
รวมถึงคนข้างบ้านด้วย -_-"

อ่อ ขอแนะนำก่อน
โฮสแฟมิลี่เราชื่อฟูจิตะซัง...
คุณพ่อทำงานที่เมืองไทยมาสิบเก้าปีแล้ว ตอนนี้ก็ยังทำอยู่
ส่วนคุณแม่พูดไทยได้นิดโหน่ย...นิดโหน่ยจริงๆ เหอๆ
บ้านนี้มีลูกสาวสองคน แต่งงานไปแล้วทั้งคู่
ลูกสาวคนโตมีลูกสองคน...ซึ่งพอมีเด็กแล้วทำให้เราแฮปปี้มากๆ เหอๆ

ขอแนะนำเด็กบ้านนี้ก่อนนะ
คนโตชื่อ "อายุจัง" อายุสองขวบ ถึงแม้ตอนที่ถามว่าอายุเท่าไหร่แกจะชูสามนิ้วแล้วบอกว่า "ห้าขวบ" ก็เหอะ -_-"
คนเล็กชื่อ "ชุนโตะคุง" อายุเก้าเดือน น้ำมูกน้ำลายยืดตลอดเวลา แต่เราชอบคนนี้มากนะ อาจจะเป็นเพราะ
พูดไม่เป็นภาษาเหมือนกัน เราเลยใช้เวลาเล่นกับชุนจังซะมาก เป็นของเล่นชิ้นใหม่ของเรา งิงิ

ตอนกลับบ้าน ลูกสาวคนเล็ก ลูกเขย และคุณแม่ก็ขับรถมาส่งเรา
รถเท่ห์มากอ่ะนะ..แต่จริงๆแล้วมันก็รถตู้ธรรมดาแหละ แต่มันเท่ห์ตรงที่
ในรถมีระบบแผนที่อ่ะ พูดได้ด้วย แบบเค้าไม่รู้หรอกบ้านเราอยู่ไหน เค้าให้แผนที่บอก
แถมประตูรถเปิดปิดออโต้ด้วย เหมือนแท็กซี่เลย กรี๊ดๆ

........................................

กลับมาถึงบ้าน...
ก็กลับสู่อาการเดิม

คิดถึงบ้านจัง...

ทำไมน้า...อาหารนี้มันถึงกลับมา ทั้งๆที่รู้สึกว่าช่วงเดือนแรกเราเริ่มสนุกแล้ว
เป็นเพราะอากาศหนาวหรือเปล่านะ..

แล้วยิ่งเป็นอย่างงี้ยิ่งอยากอยู่คนเดียว
ทั้งๆที่มีคนบอกว่า ถ้าเกิดคิดถึงบ้านขึ้นห้ามอยู่คนเดียวเด็ดขาด
แต่ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่าพอเราเกิดอาหารคิดถึงบ้านขั้นสูงเมื่อไหร่เราจะอยากอยู่คนเดียวอ่ะ
อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มาก ถึงแม้จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการร้องไห้ แต่มันก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อมันผ่านไป

อีกอย่าง...
ไม่อยากไปอยู่กับคนอื่นเท่าไหร่ เพราะไม่อยากจะไปถึงแล้วก็นั่งคอตก หน้าบูด
แถมบางทีต้องแอบออกไปนั่งร้องไห้คนเดียว...มันรู้สึกแย่กว่าอีกอ่ะ

เพิ่งรู้สึกว่ามีความสุขกับการอยู่คนเดียวก็วันนี้นี่เอง...

Sunday, November 20, 2005

ฤดูใบไม้ร่วง...ช่วงเวลาแห่งความเหงา

หายไปนานเลย ขอโทษทีเน้อ...
แต่ราก็จะพยายามอัพเดทไดอารี่ทุกอาทิตย์แหละ จะได้เข้ามาอ่านกัน
ตอนที่ไม่รู้ว่าจะเข้าเว็บไหนดี ก็เข้ามาอ่านไดเราละกัน อิอิ

ตอนแรกกะว่าจะมาอัพไดตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่พอดีดึกไปหน่อย
ความง่วงเลยเข้าครอบงำความขยันทำให้ไม่ได้อัพ ขอโทษน้าา

เมื่อวานนี้สะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอน 8 โมงเช้า
แล้วก็คิดว่า เอ...วันนี้มันวันอะไรหว่า ทำไมเราต้องตื่นเช้าด้วย
ใช้เวลารวบรวมสติเล็กน้อย...ก็ถึงบางอ้อ

วันนี้จะไปเกียวโตนี่นา!

ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว...แถมเรามีโอกาสที่จะเจอและชื่นชมใบไม้แดงได้แค่ปีนี้ปีเดียวซะด้วย
พอได้โอกาสใบไม้เริ่มแดงเลยต้องรีบชักชวนเพื่อนฝูงออกไปชมใบไม้แดงกัน

เพื่อนร่วมทางวันนี้คือเปี๊ยกและปอ
เราไปถึงอุเมดะซึ่งนักับเปี๊ยกไว้ตรงเวลา คือเก้าโมงครึ่งพอดี
แล้วก็รีบจับรถไฟไปที่อาราชิยาม่าทันที
ส่วนปอ..จะตามมาที่หลังเพราะปอเรียนที่เกียวโต ไปเจอกันที่นั่นเลย

ไปถึงอาราชิยาม่าในตอนแรกก็คิดว่าจะผิดหวังซะแล้ว เพราะมองไปทางไหน
ก็เห็นใบไม้แดงเป็นหย่อมๆเท่านั้น อยากจะเห็นทุกต้นเป็นสีแดงนี่จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย
แต่พอเดินไปสักพักก็เริ่มเห็นใบไม้แดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ....

ไม่ผิดหวังแล้วเรา ^^

การชมใบไม้แดงก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่
มันก็คือการเดินไปเรื่อยๆ เจอต้นไม้ใบไหนมีใบสีแดงก็รี่เข้าไปถ่ายรูปกับมัน
ถ่ายๆๆๆ....ถ่ายจนเบื่อไปเลย
จนในกล้องนี่แทบจะมีแต่รูปเรา และใบไม้สีแดง เหอะๆ

ก็ไม่รู้จะเล่าอะไรเกี่ยวกับการไปเที่ยวครั้งนี้แล้วแหละ
เพราะสาระสำคัญของวันนี้คือการเดินและถ่ายรูปกับใบไม้แดง



โอโคโนมิยากิมื้อเที่ยง

..........................................................................

อย่างที่ได้เปรยไว้แล้วตรงหัวข้อไดอารี่แล้ว
ก็อย่างว่าแหละ...ฤดูใบไม้ร่วงนี่นอกจากบรรยากาศรอบตัวจะกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
ไปแทบทั้งหมดแล้ว อากาศที่เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นสภาพแวดล้มรอบตัวที่ทำให้รู้สึกเหงาจัง

ทำไมหว่า...
เราก็อยู่นี่มาครบสองเดือนเต็มแล้ว แต่ทำไมยังไม่รู้สึกว่าชินเสียที
นับวันยิ่งทำให้รู้สึกคิดถึงบ้านจัง...

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีเวลาว่างมาก
ทำให้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากๆด้วยเช่นกัน
ทุกครั้งที่ใช้เวลาอยู่คนเดียวนี่ ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่คนเดียวไม่ได้นะ
แต่มันทำให้เรานั่งคิดเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ จนบางทีอาจจะเป็นเป็นฟุ้งซ่านไปก็ได้

เรื่องที่คิดส่วนใหญ่ก็เป็น...
คนที่เมืองไทยกำลังทำอะไรกันอยู่น้า จะคิดถึงเราบ้างไหมน้า พอเรากลับไปแล้วจะเป็นยังไงน้า
เมื่อไหร่จะได้เวลากลับบ้านน้า บลา..บลา..บลา
ไม่มีเรื่องของที่นี่อยู่ในหัวเราเลย....

อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่มีความสุขในชีวิตเรามันได้ฝังแน่นในความคิด ความทรงจำ
จนทำให้หลายๆครั้ง ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ช่วงเวลานั้นมันจะผุดขึ้นมาในหัวเราโดยอัตโนมัติ

และช่วงเวลาเหล่านั้น...ผู้คนเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมในความสุขของเรา
ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยสักคน...

คิดถึง...จนบางครั้งก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่เลย

อยากกลับไป...เพื่อจะมีช่วงเวลาที่ดีๆด้วยกันอีกครั้ง

จนกว่าจะได้พบกัน

Sunday, November 13, 2005

เทศกาลลอยกระทง ณ นครโอซาก้า

ฮาโหลเพื่อนๆ...วันนี้มาอัพไดตามสัญญาเน้ออ
จำได้ใช่เปล่าว่าเคยบอกไปแล้วว่าจับพลัดจับผลูได้เป็น 1 ใน 3 ตัวแทนนักเรียนไทยในโอซาก้าไปประกวดนางนพมาศ

วันนี้ที่โอซาก้าโดยความร่วมมือของสถานกงศุลไทย ณ นครโอซาก้า
สมาคมร้านอาหารไทยในโอซาก้า
และสมาคมนักเรียนไทยในญี่ปุ่นเขตคันไซ
งานเทศกาลลอยกระทงก็ได้ถูกจัดขึ้นในนครโอซาก้าเป็นปีแรก

ภายในงานนอกจากอากาศที่หนาวเหน็บแล้ว ก็ยังมีร้านอาหารไทยที่ร่วมกันมาแจกอาหารให้กินกันฟรีๆ!!!
เฉพาะคนไทยนะงานนี้....จัดเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ
รวมถึงยังมีการประกวดร้องเพลงไทย และไฮไลท์ของงานคือการประกวดนางนพมาศ

ซึ่งสมัครกันเกิดคาดแฮะ...มีร่วมประกวดนางนพวันนี้ถึง 15 คน
และแต่ละคน (ซึ่งไม่รวมเรา) ก็ได้ควักไม้ตายออกมาเต็มที่
บางคนเดินมาชุดไปรเวท แต่หัวเป็นนกยูงทองมาแล้วเรียบร้อย -_-"
บางคนถึงแม่จะไม่ได้แต่งมาจากบ้าน แต่พอมาที่งาน ไม่รู้ว่าเอาเครื่ององค์ในส่รถมากี่คันมันถึงได้มโหฬารขนาดนี้!!!

รางวัลของนางนพมาศนะจะมีตำแหน่งใหญ่สองตำแหน่ง ก็คือ ตำแหน่งนางนพมาศ และตำแหน่ง popular vote
ซึ่งนับผลจากลูกโป่งซึ่งขายลูกละ 200 เยน...ซึ่งงานนี้มีการซื้อกั๊กกันด้วย ซึ่งพวกร้านอาหารไทยนี่ซื้อกันเองไม่ยั้ง
กะว่าลูกกรูเกิดๆ ประมาณนี้ ตอนเอาลูกโป่งไปมอบให้คนของตัวนะ พวกใหญ่เป็นบอลลูนเลย ...

ชั้นล่ะกลัวจริงๆว่าน้องเค้าจะโดนลูกโป่งพวกมโหฬารที่แม่เค้าซื้อมาให้พาเค้าลอยไปตกที่ธิเบต -_-"

....

ส่วนเรา มาถึงงานตั้งแต่ก่อนบ่ายโมง ทั้งๆที่เริ่มประกวดตอนห้าโมงเย็น
คือเค้าให้ไปซ้อมเดินกันก่อนอ่ะ แล้วก็มีเวลาหลายชั่วโมงให้แต่งองค์ทรงเครื่องกันตามอัธยาศัย

รูป before แต่งหน้า ถ่ายที่สถานที่ประกวดคือสวนสาธารณะ Ogimachi ด้านหลังที่เห็นคือสถานีโทรทัศน์คันไซ (KTV)

แล้วจะบอกว่าชั้นภูมิปัญญาชาวบ้านมากอ่ะ กะว่าวันนี้มาแต่งหน้าเองเต็มที่
แต่พอเห็นคนอื่นมาแล้วเกิดอาการความมั่นใจหดเล็กน้อย คืออย่างที่บอกอ่ะนอกจากจะขนเครื่องแต่งกายมาอย่างเต็มที่แล้ว
ทุกคนยังแต่งหน้ายังกะไปรำ....คือวันนี้กรูกะเอาจริงอ่ะ ตำแหน่งนางนพมาศต้องเป็นของกรู!!! เหมือนจะมาประกวด Miss Universe
เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติยังไงยังงั้น....

ขอกราบงามๆให้กับพี่ปุ้ม ณ เกียวโตที่ช่วยทำผมให้ จนออกมาให้แข่งกับชาวบ้านชาวช่องเขาได้
แล้วก็ขอกราบอีกครั้งให้มุกที่ขนกระเป๋าเครื่องสำอางมาแต่งหน้าให้เรา คือเจ้าตัวมายังตกใจ แต่ละคนแต่งหน้ากันเต็มที่
คือแกไม่นึกว่าจะเว่อร์กันขนาดนี้ไง เหอๆ....คือเราเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

นี่คือสภาพเมื่อแต่งหน้า ทำผมเสร็จแล้ว

แล้วเมื่อเวลาระทึกใจมาถึง....
จริงๆมันก็ไม่ได้ระทึกใจอะไรขนาดนั้นหรอก
พอดีว่าอาหาศทื่หนาวประมาณสิบองศาวันนี้ได้พัดพาอารมณ์ตื่นเต้นไปจนหมด
เหลือเพียงแค่ความหนาวววววววเหน็บจนชาไปทั้งกายา

แต่ด้วยสปิริตนางงาม...ก็ต้องยิ้มกันต่อไป
ทั้งๆที่ภายใต้ร้อยยิ้มนั้นมันแอบซ่อนไว้ซึ่งความทรมาณแสนสาหัส
แล้วโทษทีเหอะ คุณพิธีกรแกก็พูดไม่เลิกอ่ะ ไม่เห็นใจคนยืนบนเวทีเลยหว่ะ
คือหนาวอ่ะนะ แถมข้างหลังเป็นน้ำตก ละอองน้ำก็กระเซ็นโดนหลังเพิ่มความหนาวให้เป็นระยะๆ

การประกวดก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ...เหมือนการประกวดนางงามทั่วไป
มีการเดินโชว์ตัว 1 รอบ สัมภาษณ์ และตอบคำถาม
ซึ่ง...ไม่ได้ว่านะ บางคนตอบคำถามแย่มากอ่ะนะ คืออันนี้จำไม่ได้ว่าใคร
แต่คำถามประมาณว่า "คุณคิดว่าวัฒนธรรมไทยกับญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร" เค้าตอบว่า...
"ก็ไม่ค่อยต่างกันนะคะ...แต่ว่าผู้หญิงไทยจะสวยค่ะ"

เอ่อ....ตอบมาได้ไงอ่ะแบบนี้ -_-"

ส่วนเรา...ก็รู้ตัวอ่ะว่าตอบไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ก็รู้สึกว่า...ตอบไม่แย่อ่ะ

แหม...ไอ้เราก็เตรียมกะจะเอาวิชาความรู้ที่เรียนมามาตอบแบบโชว์กึ๋นไปเลย
แต่ประกวดนางนพมาศอ่ะนะ ไม่ได้ประกวด Miss UNITED NATIONS มันจะมีคำถามแบบนั้นได้ไง
เราก็ได้คำถามว่า "คุณใช้วิธีการอย่างไรในการสร้างความสัมพันธ์กับคนญี่ปุ่น"

คือมันเป็นคำถามที่ไม่ได้ตอบยากอ่ะนะ คือตอบให้มันไม่โง่อ่ะไม่ยาก
แต่จะตอบให้มันฉลาดเนี่ยไม่รู้จะทำยังไงหว่ะ....

จนปัญญา...

รูปบนเวที ที่เห็นยิ้มอย่างนั้นน่ะนะ....กัดฟันทนหนาวอยู่ หึหึ

และแล้ว...
เราก็เป็นคนเดียวในตัวแทนนักศึกษาโอซาก้าสามคนที่ไม่ได้เข้ารอบห้าคนสุดท้าย
แอบเสียดายเช็คของขวัญสามหมื่นเยนหว่ะ....
แต่ไม่เป็นไร ก็แอบคุ้มเหมือนกัน ได้บัตรรับประทานอาหารไทยมา 6,000 เยน
ที่ร้าน Sweet Basils ซะด้วย...ร้านนี้อร่อย คราวที่แล้วไปกินมา อ่ะเหอๆๆๆ
(เห็นแก่กินหว่ะ)

นางนพมาศทุกคนถ่ายรูปรวมกัน คนตรงกลางสองคนคือคนที่ได้รางวัลชนะเลิศ และรางวัล popular vote (จากซ้ายไปขวา) น้องคนที่ได้ที่ 1 เอาความเอ๊าะมาเป็นต่อด้วยวัย 13 ปี..สวนน้องคนที่ได้ popular vote ก็ยินดีกับน้องด้วยที่ไม่โดนลูกโป่งลากไปติดที่ประเทศอื่น อ่ะเหอๆๆๆๆ

เมื่อการประกวดจบลง...เราก็สลัดคราบสาวไทยเรียบร้อย สุภาพอ่อนหวานออกไป
แล้วก็ลงไปเป็นปอบกินข้าวเหนียวไก่ย่าง ผัดไทย และบัวลอยอยู่ข้างล่างเวที...
เค้าบอกให้ไปลอยประทงเป็นตัวอย่างชั้นก็ไม่ไปอ่ะ เหอๆๆ แบบว่าอย่ามาขัดขวางการกินได้ป่ะ

หลังจากนั้นก็ได้ไปลอยกระทงด้วยล่ะ เป็นการลอยกระทงที่ทำให้คิดถึงบ้านมากขึ้นเป็นกองเลย

งานลอยกระทงปีนี้....
มีเพื่อนคนญี่ปุ่นที่เราชวนมามาทุกคน (ทั้ง tutor เราที่พาแฟนมาด้วย penfriend เราที่พาแฟนมาด้วยเหมือนกัน และรวมถึงเพื่อนที่ไปเจอกันที่ HPAIR ก็มาด้วย)
แถมยังได้เจอ host family เป็นครั้งแรก...มาถึงก็พูดภาษาไทยใส่เราเลย แถมใส่เสื้อผ้าไทยอีกตะหาก เดินมานึกว่าคนไทย เหอๆ....
รู้สึกว่าเค้าจะเปนคนที่ชอบเมืองไทยเป็นพิเศษ และที่เราเจอเค้าช้าก็เพราะว่าเค้าเพิ่งกลับมาจากเมืองไทยเนี่ยแหละ -_-"

แต่ถึงแม้จะครื้นเครงแค่ไหน
การลอยกระทงครั้งนี้....มันก็ไม่ใช่ที่บ้านเรา....
คิดถึงการไปลอยกระทงที่สะน้ำจุฬาฯที่ทำติดต่อกันมาหลายปีแล้ว คิดถึงเพื่อนๆที่ทุกปีจะต้องไปเดือนเที่ยวงานด้วยกัน
รวมถึงคิดถึงช่วงเวลาที่จะต้องไปตะโกนขายของที่ถึงแม้จะได้กำไรนิดเดียว แต่ก็เทียบไม่ได้กับความสนุกที่ได้รับ

...คิดถึง...

สุขสันต์วันลอยกระทงล่วงหน้านะทุกคน...

Friday, November 11, 2005

Bunraku - ละครหุ่น

วันนี้ไม่มีอะไรจะเล่าเป็นพิเศษอ่ะ แต่จะเอารูปมาให้ดู
พอดีเมื่อวันพุธไปดูละครหุ่น Bunraku มา

Bunraku เป็นหุ่นละครใข้สามคนเชิก คล้ายๆ Joe-Louis บ้านเราอ่ะ
แต่นะ..ไปดูก็หลับจริงๆแล้ว เพราะฟังไม่รู้เรื่อง
แล้วเพลงญี่ปุ่นโบราณก็ชวนให้นอนซะ แถมที่นั่งก็นุ่มสบาย ฮ่าๆๆ

ป้ายบอกทางไปโรงละคร


สาธิตการเชิดหุ่น


ข้างในโรงละคร เวลาแสดงอยู่ห้ามถ่ายรูปอ่ะ แต่ถ่ายกันเองได้ แถมเอาข้าวเข้าไปกินได้ตลกมะ มีคุณลุงคุณป้าเอาเบ็นโตะไปนั่งจ้วงกันในโรงละครกันใหญ่ ถามอาจารย์ตั้งหลายครั้งว่าเอาของกินเข้าไปกินได้จริงๆเหรอ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น

อ่อ...คราวนี้ไปดูฟรี เพราะได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ในวิชา Japanese Literature Modern and Contemporary...ขอกราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้

วันอาทิตย์นี้จะมีงานลอยกระทงที่โอซาก้า เดี๋ยวจะอัพไดอีกทีวันนั้นนะ
แล้วจะเอารูปมาให้ดูกันด้วย

คิดถึงจ๊ะ

Sunday, November 06, 2005

หยุดงานโรงเรียน 6 วัน...ออกเที่ยวทุกวัน เหอๆ

ขอโทษอย่างสูงที่หายไปนาน
จริงๆแล้วมีเรื่องจะเล่าทุกวันเลย แต่ว่าเก็บไว้มาเล่าทีเดียวดีกว่า
จะอัพไดทุกวันเดี๋ยวจะตามอ่านกันไม่ทัน อิอิ

สัปดาห์นี้เรามีวันหยุดหลายวัน เนื่องจากวันพุธเราไม่มีเรียนอยู่แล้ว
วันพฤหัสฯเป็นวันหยุดราชการ คือวันวัฒนธรรม ส่วนวันศุกร์-อาทิตย์ เป็นวันงานโรงเรียน
คล้ายๆจุฬาฯวิชาการอ่ะแหละ ก็มีพวกออกร้าน การแสดง ต่างๆ แต่ออกจะน่าเบื่อกว่าจุฬาฯวิชาการเล็กน้อย
เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่ของกิน ที่แต่ละร้านก็จะมีคนขายมากกว่าคนซื้อ และที่ยิ่งไปกว่านั้น...
ก็มักจะมีผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงเดินว่อนเต็มถนนไปหมด -_-"
ส่วนวันจันทร์เป็นวันเก็บกวาดเศษซาก ขยะทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นจากวันงานโรงเรียน

เลยมีวันหยุดรวมทั้งสิ้นหกวันเต็มๆ...สบายไหมล่ะ อิอิ

ตอนแรกก็กะว่าจะไปเมืองอื่นไปเลย เพราะมันคงหาวันหยุดนานๆแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
แถมหยุดไม่ตรงชาวบ้าน ไม่ตรงเทศกาลอีก ไม่ต้องแย่กันเที่ยวกับคนอื่น...
แล้วเจอรุ่นน้องที่เตรียมฯคนนึงในเน็ทพอดี เค้าอยู่เมืองเบ็บปุ ที่เกาะคิวชู
แต่แผนการณ์นั้นได้ล้มเลิกไป เพราะรุ่นน้องคนนั้นบอกว่า "พี่โบว์ต้องเที่ยวเองนะคะ เพราะหนูมีเรียน คงพาเที่ยวไม่ได้"
อ่ะนะ...ภาษาญี่ปุ่นยังพูดไม่ได้ ก็เลยลาก่อน...ไว้พบกันโอกาสหน้า

แต่ก็นะ...ถึงแม้จะไม่ได้ไปเมืองอื่น แต่เราก็ออกเที่ยวทุกวัน ฮ่าๆๆ

เริ่มจากวันพุธ..
หน้าด้านไปแจมทริปของคณะอื่น ฮ่าๆๆๆ...
คือจริงๆแล้วมันเป็นทริปที่จัดให้สำหรับนักเรียนต่างชาติของคณะ Engineering Science
แต่เนื่องจากพี่นัทเส้นใหญ่เลยชวนให้ไปด้วย...แล้วก็ได้ไปซะงั้นอ่ะ
เพื่อน OUSSEP สองคนที่อยู่คณะนี้มันยังงงๆเลยว่ามาด้วยได้ไงวะ ไม่ได้อยู่คณะนี้ซะหน่อย

สถานที่ที่ไปวันนี้คือศาลเจ้า Ise Jingu ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เค้าว่าเป็นศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิที่สุดในญี่ปุ่น
และ Myoto-Iwa เป็นหินสองก้อน ซึ่งอยู่กลางทะเล เค้าว่ากันว่าศักดิ์สิทธิในเมือง Mie
และค่าใช้จ่ายก็ถูกมั่กๆอ่ะ...เพียงแค่ 1,500 เยน รวมข้าวเที่ยงคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว...

ตอนเช้าเดินทางออกจาคณะ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง โดยรถบัส
พอไปถึงก็กินข้าวเที่ยงกันก่อน แล้วก็เดินไปที่ศาลเจ้า Ise Jingu
คือ..มันก็คือศาลเจ้าอ่ะแหละ แต่ทริปนี้ดีอย่างนึงไม่ต้องหยิบกล้องขึ้นมาเลย
เพราะพี่นัท พี่อ้น และพี่แก้ว รุ่นพี่สามคนที่เป็นคนไทยนี่เป็นเซียนกล้องอย่างมาก
ถ่ายไม่หยุดๆ...เราก็แค่สะกิดๆให้ถ่ายให้หน่อย ประมาณนี้ เหอๆ

แล้วก็เข้าไปดูการแสดงบูชาอะไรสักอย่างในวัด...ฟังไม่ออกหรอก มันเป็นภาษาญี่ปุ่น
จริงๆแล้วเค้าห้ามถ่ายรูปและวีดีโอ แต่พี่นัทก็ไม่วายแอบถ่าย ฮ่าๆ เราก็มีหน้าที่ช่วยเอามือปิด
จะได้ไม่มีใครสังเกตุเห็นนว่าถ่ายอยู่ ฮ่าๆ ตลกดี

ออกจากศาลเจ้า ก็เดินทางไปที่ Myoto-Iwa
มันก็ไม่มีอะไรอ่ะนะ เป็นหินสองก้อนในทะเลจริงๆ...ซึ่งเค้าเชื่อว่ามันเป็นสามี-ภรรยากัน
เรื่องตลกเรื่องนึงก็คือ สงสัยเค้าเห็นเราเดินกับพี่นัทตลอด เค้าก็มาสะกิดๆบอกว่า
เดี๋ยวเค้าถ่ายรูปให้มั้ย คู่แต่งงานเนี่ยถ่ายกับหินนี้แล้วดีนะ...พี่นัทก็ตอบไปว่า "นี่ไม่ใช่เมียพ๊มมม" ฮ่าๆๆ

เราก็ไม่วายซื้อเครื่อรางกลับไปเป็นที่ระลึกจากทั้งสองที่...

ขากลับใช้เวลาเดินทางอีก 4 ชั่วโมง...โดยมีพี่แก้วชวนคุยตลอดทางทั้งทางไปและทางกลับ
กลับมาถึงที่คณะเวลาประมาณทุ่มกว่า แล้วก็พากันไปกินข้าว

พี่นัท เรา พี่อ้น และมุกที่หน้า Ise Jingu

พี่นัท เรา พี่แก้ว พี่อ้น และมุกที่ Myoto-Iwa

วันพฤหัสฯ..
วันนี้ตอนแรกกะจะไปเที่ยวคนเดียว เปลี่ยวๆซะหน่อย
และวางแผนไว้แล้วว่าจะไป Osaka Aquarium หรือที่คนที่นี่เรียกว่า Kaiyukan
แต่พอดีเมื่อวานคุยกับเพื่อนเกาหลีคนนึง มันบอกว่าจะไปด้วยก็เลยมีเพื่อนไปด้วยซะงั้น

นัดกันสิบเอ็ดโมง เฮียมาก็สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว
รวมใช้เวลาหลงทางในสถานีรถไฟอีกประมาณชั่วโมงกว่า
กว่าจะไปถึงที่หมายก็เกือบบ่ายโมงแล้ว...

วันนี้ไม่มีอะไรจะเล่าเป็นพิเศษ เพราะมันก็คือ Aquarium อ่ะนะ
ก็มีแต่สัตว์น้ำ....และลืมไปว่าวันนี้เป็นวันหยุดราชดาร ทำให้มีคนมากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะเด็กๆ....ซึ่งแย่งกันเกาะหน้ากระจก เวลาปลาโลมาม้วนตัวทีนึงก็จะกรี๊ดทีนึง
ในกล้องเราก็จะมีแต่รูปสัตว์น้ำ และเด็กซะส่วนใหญ่

ส่วนเพื่อนร่วมทางก็เป็นคนที่ดูง่วงตลอดเวลา...
จำได้ไหมว่ามีหนุ่มเกาหลีคนนึงที่เราบอกว่าเท่อ่ะนะ ก็คือคนนี้แหละ
แต่ขอบอกว่าเวลาเดินเฉยๆ ไม่เท่ เวลาพูดอะไรงี้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
จะเท่เฉพาะตอนร้องเพลงเท่านั้น สงสัยที่กลังถ้าจะให้ไปไหนด้วยกันคงยากนิดนึง
ยกเว้นไปคาราโอเกะ ฮ่าๆๆๆ

หน้า Aquarium (คืออันฟ้าๆข้างหลังน่ะ)

มีเพนกวินด้วยนะ
วันศุกร์...
วันนี้ไปกับเพื่อนๆต่างๆชาติด้วยกัน ที่เมือง Nara
จริงๆแล้วเราเคยไปมาแล้วแหละเมืองนี้ และวัดที่ดังที่สุดของเมืองนี้เราก็เคยไปมาแล้ว
แต่มันอาจจะสนุกตรงที่เราได้ไปลุยด้วยตัวเองกับเพื่อนต่างชาติที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน

นัดเจอกันสิบโมงเช้า แล้วก็ขึ้นรถไฟไปที่นารา ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เพราะเป็นรถด่วน
พอไปถึงก็ไปหา Nara City Information Center ก่อน ได้แผนที่มาแล้วก็ออกเดินทางไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ
ซึ่งจุดหลักก็คือวัด Todai-ji ที่เราเคยไปมาแล้วนั่นแหละ
คราวนี้เราก็เลยเป็นไกด์ไปในตัว

สำหรับคนที่เคยมานาราคงจะรู้กันว่าที่นี่มีกวางเดินตามถนนเต็มไปหมด
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปแล้ว....
คือเดินไปทางไหนถ้าไม่เจอกวาง ก็เจออึกวางอ่ะนะ
ของที่ระลึกก็มีแต่กวาง.....กวางเต็มไปหมด

พอไปถึงวัด Todai-ji ก็มีการสักการะหลวงพ่อโต
และที่วัดนี้มันจะมีเสาต้นนึงที่ถูกเจาะรูไว้ เป็นรูเล็กมาก ขนาดให้กวางลอดประมาณนี้
แต่มันก็เป็นธรรมเนียมว่าจะคนใดที่มีความกล้าจะต้องลอดรูนี้
เพราะมันลอดได้ทุกคนจริงๆอ่ะ...แต่เพื่อนเรานี่ ขนาดเราลอดให้ดูครึ่งนึงแล้ว
ก็มีเพื่อนผู้หญิงกล้าลอดตามคนเดียว...แต่เพื่อนผู้ชายนี่โคตรป๊อดอ่ะ เหอๆ

วันนี้เดินเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 5 กม. ขึ้นเนินซะส่วนใหญ่
แต่ยังดีที่มันเป็นเนินเตี้ยๆ..แต่ก็หมดแรงใช่เล่น
สี่โมงก็เดินทางกลับโอซาก้า
5 Stories Pangoda
Todai-ji
วันเสาร์...
วันนี้เป็นวันสุดยอดทรหด..คือกลุ่มแม่บ้าน host family เค้าได้จัดโครงการสำหรับนักเรียนต่างชาติ
ให้ไปปีนเขากันที่ Mino-o National Park
ตอนแรกทุกคนก็ร่าเริงหลั่นล้ากันอยู่อ่ะนะ เพราะว่าไม่มีใครคิดว่ามันจะปีนเขาจริงๆ และไม่คิดว่ามันจะไกล
แต่พอขึ้นรถไฟเจอเพื่อนฝรั่งคนนึง แกบอกว่าแกเคยมาแล้วครั้งนึงกับ host family แต่คราวนั้นนั่งรถไป
และ...ระยะทางจากตีนเขาถึงยอดเขารวมทั้งสิ้น 5 กม.!!!!!!

เอ่อ...เมื่อวานเดิน 5 กม.ไปกลับยังเท้าเกือบฉีก แถมวันนี้ขึ้นเขาอีก
เขาจริงๆ ภูเขาน่ะ...ไม่ใช่เนินแบบเมื่อวานนี้
ทำให้มีเสียงงึมงำว่าจะกลับบ้านกันดีมั้ยนะ ... แต่ก็ไม่มีใครกลับ

ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด -_-"

จะบอกว่า...มันเหนื่อยจริงๆ
เพราะไม่ใช่แค่เดินขึ้นเขาที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุดแล้ว
ใบไม้ก็ยังไม่ได้แดงเต็มที่ มีแค่บางต้นเท่านั้นที่เริ่มแดงทั้งต้นแล้ว
ลิง..ที่ตอนแรกตื่นเต้นอยากมาดูกัน ก็โผล่มาให้เห็นไม่กี่ตัว และเป็นลิงตะกละซะส่วนใหญ่
คือพยายามแย่งของกินจากคนอย่างหน้าตาเฉยๆ

ขอบอกว่าระยะทางที่เดินทั้งสิ้นวันนี้...ทำให้เมื่อวานนี้กลายเป็นเด็กๆไปเลย
เพราะเดือนขึ้นลงเข้าอยู่อย่างนั้น รวมพักกินข้าวประมาณ 1 ชม.
เป็นเวลารวมทั้งสิ้นกว่า 6 ชั่วโมง!!!!!

แล้วเราเป็นกลุ่มแรกที่ยอมแพ้ เพราะตอนที่ลงจากเข้าแล้วมีอยู่สี่ห้าคนที่ของตัวกลับก่อน คนอื่นเค้ายังมีแรง
เดินขึ้นเขาไปเล่นเกมกันอีกนะ....รวมถึงคุณป้าทั้งหลายก็อึดใช่เล่น มิน่าล่ะ...ขาของผู้หญิงญี่ปุ่นถึงได้ เอ่อ...

แต่นี่ขนาดขอตัวกลับแล้วนะ...
ระยะทางจากตรงที่ขอตัวกลับไปยังสถานีรถไฟยังเกือบ 2 กม....
ทำให้บวกลบคูณหารไม่ถูกเลยว่าระยะทางที่เดินวันนี้รวมทั้งสิ้นกี่สิบกิโล -_-"

กลับมาถึงบ้าน...กลายเป็นศพไปเลย
นอนอยู่บนเตียง แบบไม่อยากขยับอีกแล้วประมาณ 1 ชม.
แล้วก็ออกไปงานวันเกิดเพื่อนอีก กว๊ากกกก ดีนะที่มันใกล้ๆ
ก่อนขึ้นเขา หน้าตายิ้มแย้มทุกคน
ใบไม้แดงบนยอดเขา
บทสรุปของการฝืนสังขารตัวเอง นอนดึก ตื่นเช้า ออกเที่ยวทุกวันไม่มีหยุดหย่อน
ทำให้ตอนนี้มีหวัดติดตัวไปแล้ว....
แต่ดีนะ...ที่มีคุณหมออยู่ใกล้ตัว ทำให้เมือวานนี้คุณหมอสั่งให้กินยาเรียบร้อยแล้ว
พร้อมคำธิบายว่า อาการน้องเป็นยังงู้นยังงี้เกิดจากไวรัส แบคทีเรีย bla bla bla
ที่ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ...

อ่อ...วันนี้ตอนแรกกะว่าจะไปงานโรงเรียนที่บอกไว้ตอนต้น
แต่เนื่องจากสังขารเป็นอย่างนี้ รวมถึงรู้สึกว่าจะเดินไกลไม่ได้ไปสักระยะ
ทำให้วันอาทิตย์...ขอเป็นวันพักผ่อนหนึ่งวัน

และ...เป็นการเตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ ฮ่าๆๆๆๆ
ยังไม่เช็ดง่ะ เหอๆ

โปรแกรมวันพรุ่งนี้คือไปโกเบ แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร
(ถ้าได้ไปนะ)

คิดถึงทุกคนเหมือนเดิม