zz *Bow's Journey Under the RainBow*: June 2006

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Wednesday, June 28, 2006

Field Trip to Toyota City!!!

ว่างายเพื่อนฝูงงง
เห็นชื่อแล้วคงงงๆมันไปทำอะไรที่โตโยต้า
ฮ่าๆๆๆๆ

จริงๆแล้วทริปนี้ไม่ได้ตั้งใจจะไปอ่ะนะ
เพราะว่าพรุ่งนี้มันส่งรายงานอ่ะ
แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องรถยนต์ซะเท่าไหร่

แต่ว่าเนื่องจากปั่นรายงานเสร็จตั้งแต่วันศุกร์
บวกกับวันพุธมันว่าง และมันก็ฟรี (แถมข้าวเที่ยง) อีกตะหาก

ก็เลยเอาวะ..ไปก็ไป ไหนๆก็ไหนๆละ

รถบัสออกจากมหาวิทยาลัยตอนเก้าโมงเช้า
มุ่งหน้าไปจังหวัก Aichi!!!

ที่แรกที่เราจะไปก็คือ Toyota Tsutsumi Plant
อ่อ.. โรงงานโตโยต้าที่ว่านั้นตั้งอยู่ที่เมือง Toyota จังหวัด Aichi
ซึ่งจังหวัดไอจิเนี่ย เราเคยมาแล้วหนึ่งครั้งตอนโกลเด้นวีคจำได้เปล่า
แต่ตอนนั้นไม่ได้มาที่เมืองโตโยต้า ไปที่นาโกย่าซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดไอจิ

คือตอนแรกเมืองนี้มันไม่ได้ชื่อเมืองโตโยต้ามาก่อนนะ จำไม่ได้แล้วว่าชื่อก่อนนี้ชื่ออะไร แต่มันมีโรงงานโตโยต้าอยู่ทั้งเมืองอ่ะ เค้าก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโตโยต้าไปเลยยย

นั่งรถมาราธอนอีกแล้ววันนี้ ไปถึงตอนบ่ายโมง (หลังจากมีการพักเข้าห้องน้ำหนึ่งครั้ง และพักกินข้าวเที่ยงอีกหนึ่งครั้ง)
แต่ว่า.. ที่นี่เราไม่มีภาพให้ดูนะ เจ้าห้ามถ่ายรูปอ่ะ
บรรยายให้ฟังละกัน.. คือก็คือไปดูโรงงานที่เค้าผลิตรถอ่ะแหละ
เดินเข้าไปก็เป็นสายพานอ่ะ แล้วก็มีรถเปล่าๆ กะประตูลอยๆอยู่บนหัวเรา ฮ่าๆๆ
มันก็เท่ดีนะ... อ่อ ที่โรงงานโตโยต้านี่คนบรรยายบอกว่า
วันนึงผลิตรถ 2,000 คัน หนึ่งคันใช้เวลาผลิต 20 ชั่วโมง

อ่อ..แล้วที่เห็นมันลอยๆอยู่บนหัวเนี่ย เค้าบอกว่า made in order นะ
มีเจ้าของแล้วทั้งนั้น ไม่สั่งมาไม่ผลิตว่างั้นเหอะ

ใช้เวลาอยู่ในโรงงานหนึ่งชั่วโมง แล้วก็มุ่งหน้าสู่ Toyota Kaikan Exhibition Hall

อันนี้มีรูปให้ดูแล้ว ถ่ายรูปได้ อิอิ
พอเข้าไปก็เจอเจ้านี่เลย


เล่นดนตรีให้ฟังด้วยนะ
(อันนี้วิ่งหอบแฮ่กๆมาถ่ายเลย มัวแต่ไปทำอย่างอื่นอยู่ เหอๆ)


อันนี้ชอบมาก ชื่อ I-FOOT


รถคันนี้ก็เท่นะ.. แต่ข้างหน้าแอบเหมือนอ่างล่างหน้าไปหน่อย ฮ่าๆๆ
(ว่าเค้าซะเสียเลย คนดีไซน์ได้ยินจะเสียใจไหมเนี่ย)


อันนี้เป็นรูปจำลองโรงงานที่ไปดูมาเมื่อกี้
ของจริงถ่ายไม่ได้ ดูของปลอมไปละกันนะ


สามหนุ่ม...กับรถสีชมพู
คือเค้าอยากถ่ายกันมากนะสามคนนี้อ่ะ ไปยืนต้อคิวอยู่ตั้งนาน
(ท่าที่ทำนี่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ตอนที่ตาเจฟฟรี่ยืนอยู่บนรถทัวร์แล้วหัวชนผนังอ่ะ คือมันตัวสูงไง แต่เจ้าตัวบอกว่าที่ฮอลแลนด์หลังคามันไม่เตี้ยยังงี้นะ เหอๆ)


ดูภาพจากมุมสูงกันหน่อย


สุดท้าย มีช่วงตอบคำถามอ่ะ
คือเราก็ไม่ได้ถามอะไรเค้าหรอก เพราะไม่ได้สนใจเรื่องรถอะไรมากมาย
เหมือนมาเพื่อเที่ยวกะเพื่อนอ่ะ เหอๆๆๆ
แต่ในห้องที่เค้าจัดพูดคุยกันนี่มีเอาธงมาตั้งนะ ซึ่งเป็นธงของคนทุกประเทศที่วันนี้มาร่วมอ่ะ
เป็นไงล่ะ ทริปอินเตอร์อ่ะสิ หุหุ


อ่อ... มีความรู้ข้อนึง ได้มา
พอดีตั้งใจฟังอยู่แป๊บเดียว มัวแต่เม้าท์ เหอๆ

คือมีคนถามว่า ทำไมถึงชื่อโตโยต้า ทั้งๆที่ตอนแรกชื่อ "โตโยดะ"
มีเหตุผลอะไรก่อนหน้านี้ไม่รู้จำไม่ได้
แต่เหตุผลข้อนึงขำดี

เค้าบอกว่าให้ลองสะกดสองคำนั้นเป็นตัวคาตะคานะดู จะได้แบบนี้

トヨタ = TOYOTA

トヨダ = TOYODA

ถ้านับเส้นตามหลักภาษาญี่ปุ่นแล้ว โตโยต้าเนี่ยจะนับได้ 8 เส้น
ส่วนโตโยดะ จะนับได้ 10 เส้น (เพิ่มเต้งเต้งขึ้นมาสองขีดอ่ะเห็นป่ะ)

แล้วเลข 8 ตัวคันจิคือตัวนี้

เค้าบอกว่ามันเป็นเลขที่ดี เพราะพอเป็นตัวคันจิแล้วมันจะมีลักษณะเหมือนภูเขา เปรียบเสมือนการเจริญรุ่งเรือง ก็เลยเปลี่ยนซะงั้นอ่ะ ฮ่าๆๆๆ เข้าใจคิดดีแฮะ

หลังจากนั้นก็กลับบ้านนน..
หลังจากนี้ยังไม่รู้จะไปไหน ถ้าไปไหนแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังอีกเน้อออ
วันนี้ไปล่ะจ้า บ๊ายบายยยยยยย

ปล...ขอบคุณพี่กัปตันฯด้วยนะคะ ที่ส่งโปสการ์ดมาให้
รูปสวยมากๆๆๆๆๆๆ สวยกว่าตัวจริง หุหุ

Monday, June 26, 2006

Bar-B-Q Party at Biwako

สวัสดีผองเพื่อน
หายไปหลายวัน ตอนแรกคิดว่าจะอัพเดทเรื่อง
พัฒนาการของการทำครัวของเราไปพลางๆ ฮ่าๆๆ
แต่ไว้ที่หลังละกัน เพราะรู้สึกว่าช่วงใกล้ส่งรายงาน (ประมาณปลายเดือนหน้า)จะไม่ค่อยมีเรื่องมาเล่าให้ฟังเท่าที่ควร

อ่อ..อย่างที่เกริ่นไว้คราวที่แล้วว่าจะไปงานบาร์บีคิวปาร์ตี้
กับสมาคมคนญี่ปุ่นที่รักประเทศไทย (ซึ่งไม่ได้เกียวกับมหาวิทยาลัยเกียวโตแต่อย่างใด ขออภัยกับข้อมูลที่ผิดพลาดคราวที่แล้วไว้ ณ ที่นี้ด้วย)

ก็ไปมาแล้วล่ะเมื่อวาน..
งานนี้ต้องขอขอบคุณพี่ปอย พี่พลัง พี่เอ๋ และพี่หยกมากๆ
ที่ชวนเราไปร่วมหารค่ารถด้วย ฮ่าๆๆๆ
คือจริงๆแล้วตั้งใจจะไปรถไฟอ่ะ
แต่พี่พลังบอกว่าจะเช่ารถไปเพราะมันถูกกว่า
ตอนแรกคิดว่าจะถึงเร็วกว่าคณะอื่นๆนะ..
แต่พอดี ฝนตก รถติด เลยไปถึงช้ากว่าชามบ้านประมาณครึ่งชั่วโมง

ถึงแล้วทะเลสาบบิวะ (琵琶湖)


สถานที่จัดงาน ชื่อแคมป์อะไรไม่รู้จำไม่ได้ เหอๆ

อ่อ..ขอเกริ่นเรื่องทะเลสาบบิวะก่อนดีกว่า
เพื่อจะได้เป็นความรู้ไปด้วย ... หรือแปรสภาพเป็นบล็อคเพื่อการศึกษาดีนะ หุหุ

ทะเลสาบบิวะ หรือภาษาญี่ปุ่นคือ Biwa-ko(琵琶湖) เป็นทะเลาสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของจังหวัดชิกะ (滋賀県) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคันไซนั่นเอง

ที่บอกว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเนี่ยนะ ทะเลสาบแห่งนี้มีความยาวถึง 64 กม.วัดจากทางเหนือมาทางใต้ กินพื้นที่ถึง 672 ตางรางกิโลเมตร และนับเป็นพื้นที่ถึง 4 ใน 5 ของจังหวัดชิกะอีกด้วย
บอกเป็นตัวเลขอาจจะนึกกันไม่ออก เอาเป็นว่าพื้นที่โดยประมาณของทะเลาสาบบิวะเนี่ยมีขนาดพอๆกับประเทศสิงคโปร์ หรือจังหวัดนนทบุรีของเราเชียวนะ (อันนี้มีคนบอกมา)

น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ไหลผ่านแม่น้ำสำคัญถึงสามสายคือ แม่น้ำเซตะ แม่น้ำอุจิ แม่น้ำโยโด (เดี๋ยวจะไปสำรวจให้ในฤดูร้อนนี้นะ หุหุ) และไหลออกทะเลที่อ่าวโอซาก้านั่นเอง

พอไปถึง... อย่างที่บอก สายง่ะ เค้าก็เลยเริ่มกินกันแล้ว
มื้อนี้อาศไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ ฝนตกพรำๆตั้งแต่เช้ายันเย็น
ทำให้ต้องไปปิ้งบาร์บีคิวกันข้างในร่ม ควันขโมง หัวมีกิ้นหมู เนื้อ ไก้ ไส้กรอกติดไปตามๆกัน


ด้วยความสัตย์จริง เรากินน้อยมากเลยอ่ะ..
ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะกว่าบาร์บีคิวจะสุก ก็นานมากกกก
คือพอมันสุกใข่มะ เราได้สองชิ้นก็เอาลงไปนั่งกินกับคนอื่น
พอหมดแล้วยืนขึ้นมาอีกทีของที่อยู่บนเตาก็ใหม่หมด ฮ่าๆๆ (ใหม่แปลว่าดิบ)

นอกจากนี้...กรรมการสมาคมนักเรียนฯ ก็ยังฟิตมากมีการจัดประชุมนอกสถานที่อีกด้วย

แต่พอถ่ายรูป... ก็หยุดพักประชุมโดยฉับพลัน ฮ่าๆๆ

หลังจากรับประทานกันเสร็จก็มีการเล่นเกมกันเล็กๆน้อยๆ เป็นกิจกรรมร่วมกันคนไทยคนญี่ปุ่น
ซึ่งแอบขลุกขลักนะ ก็เพราะโทรโข่งไม่ค่อยดัง (จริงๆแล้วเพราะคนเยอะอ่ะ)
แล้วมันต้องเป็นสองภาษาไงในการเล่นเกมอ่ะ เราจะเอาเกมตอนรับน้องไปเล่นก็ไม่ได้อ่ะนะ
เพราะว่ามันดูเหมือนจะซับซ้อนเกินไปในการทำให้คนญี่ปุ่นเข้าใจ

นี่แหละน้า.. อุปสรรคของภาษาล่ะ หุหุ

หลังจากเล่นเกมกันแล้ว..
ก็ถึงตาวงดนตรีนักเรียนคันไซ (อีกแล้ว) ฮ่าๆ

คราวนี้มีดึงพี่หยกเข้ามาเป็นนักร้องด้วย และกระชากพี่โอเข้ามาเล่นกีร์ต้าอีกคนนึง
เพลงที่แล้วออกแนวกระชากวัย เช่น รักอยู่หนใด (ของป็อปแองเจิ้ลน่ะ) และหายใจเป็นเธอ (ของโฟร์มด เราร้องเอง ฮ่าๆๆ สนองตัณหาคนอายุสมองน้อยหน่อย เหอๆๆ)

แล้วก็ได้เวลาบอกลา..

ขากลับข้ามสะพาน Biwa-ko Ohashi(琵琶湖大橋)แปลว่าสะพานใหญ่บิวะโกะ ซึ่งเป็นสะพานข้ามทะเลาสาบในส่วนที่แคบที่สุดนั่นเองจ้า


งานนี้ต้องขอขอบคุณสมาคมคนญี่ปุ่นที่รักประเทศไทย ที่ทำให้เราได้มาเที่ยวบิวะโกะ และเลี้ยงอาหารกันฟรีหนึ่งมื้อ อิอิ
(ถึงแม้จะมีคุณลุงเมาๆหื่นๆปะปนอยู่บ้างก็เหอะ)

แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า
บ๊ายบายจ๊ะ

Thursday, June 22, 2006

ตามรอย Memoir of a Geisha!

giคิดว่าหลายๆคนคงได้ดูหนังเรื่องนี้กันแล้วใช่ป่าว
"Memoir of a Geisha"

หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เราอยากดูมากมาก่อน
เพราะตอนปีสองไปซื้อหนังสือเรื่องนี้มาอ่าน
แล้วชอบมากกกก.. สองเล่มหนาๆ อ่านได้ไม่วางเลย
สนุกจริงๆ (ถึงแม้ว่าคนญี่ปุ่นจะบอกว่าเนื้อเรื่องมันบิดเบือนจากความเป็นจริง)
แต่ถ้านับในเรื่องของความบันเทิง และความสนุก น่าติดตามของเนื้อหาแล้ว
ขอยกให้เป็นหนึ่งสือหนึ่งเล่มในดวงใจ

หลังจากได้อ่านจบ เราก็รู้สึกว่าอยากจะรู้เรื่องของญี่ปุ่นมากขึ้น
ไม่ใช่แค่ที่เล่มเกม หรืออ่านการ์ตูน ดูทีวีแล้วซึมซับไปวันๆ
บอกได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุผลเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจมา
ใช้ชีวิตปีนึงอยู่ที่นี่ก็ได้ (แต่ไม่ใช่เหตุผลเดียวแน่นอนอ่ะ เหอๆ)

ที่พูดมาซะยืดยาวไม่ใช่อะไร..
ไม่ได้เกี่ยวกะหนังสือเลยด้วย ฮ่าๆๆ
แต่มันเกี่ยวกับหนังมากกว่าอ่ะ

หนังเรื่องนี้เข้าที่ญี่ปุ่นก่อนเมืองไทยอีก
แต่ก็ไม่ได้ดู เพราะติดนู่นติดนี่ พอกลับไปเมืองไทยก็ไม่ได้ดูอีก
เลยแวะตลาดนัดแถวบ้านสอบดีวีดีราคา 80 บาทมานั่งดูที่นี่ซะยังงั้น หุหุ

อ่อ... เรื่องที่จะมาเล่าวันนี้ขอเริ่มจากความโชคดีก่อน
เนื่องจากอาทิตย์ที่แล้วไปทำงานพิเศษมาที่เกียวโต
ประกอบกับเพื่อนพี่ใหม่คือพี่แจ๋ซึ่งมาไกลจากอเมริกา
ได้มาเยี่ยมเยียน (พี่ใหม่) พอดี เย็นวันนั้นก็เลยพาพี่แจ๋ไปเดินเล่นที่ย่าน Gion
ซึ่งเป็นย่านที่มีกิจการเกอิชาอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
(ถึงแม้ตอนนี้จะน้อยลงไปมากแล้ว)ท่ามกลางฝนที่ตกพรำๆ

ทันใดนั้น...
โอ้ มาเดินที่นี่ตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยเจอไมโกะซังตัวจริง เป็นๆเลยสักที
เคยเห็นแต่ของปลอม (ที่เราเคยไปปลอมอยู่ครั้งนึง)
และโปสเตอร์ที่แปะอยู่ที่ผนังเท่านั้น

แต่วันนี้... เจอของจริงเจ้าค่ะ
แล้วมาทีเดียวสาม...
สามสาวเลยสวมวิญญาณปาปารัสซี่ ควักกล้องออกมาคนละอัน
แล้วก็ถ่ายๆๆ กันใหญ่เลย

แต่เธอเดินเร็วมากอ่ะ ทำให้ได้ภาพประมาณนี้มา แหะๆ


..........................................

วันต่อมา ก็โดดเรียนอีกหนึ่งวัน..
ตามพี่ๆสองคนไปเที่ยว แหะๆๆ

พี่แจ๋และพี่ใหม่

ก่อนที่จะไปตามรอย Memoir of a Geisha กัน
ขอพาไปเที่ยววัดสำคัญวัดหนึ่งในเมือง Uji ที่อยู่ในจังหวัดเกียวโตกันก่อนนะ

เมือง Uji นี่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องชาเขียวมากเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ขนาดวันก่อนดูรายการทีวี เป็นรายการมายากลอ่ะ
ของนักมายากลคนญี่ปุ่นชื่อ Cyril Takayama คิดว่าหลายๆคนคงรู้จัก
เพราะว่าตาคนนี้เล่นมายากลได้เวอร์มากจริงๆ
ถ้าใครยังไม่ได้ดู แนะนำให้ไป search หาใน youtube.com ดูเอาละกัน
(วันก่อนตกใจมาก แกเสกจระเข้เป็นๆออกมาแทนโลโก้เสื้อลาคอส เหวอออออ)

บังเอิญตอนที่พูดถึงนี่มีคนเอาลง youtube แล้วอย่างรวดเร็ว เลยเอามาฝากกันอ่ะ


เออ..เข้าเรื่องชาต่อนะ
คือว่าตานักมายากลเนี่ยเค้าไปเดินชินจูกุที่โตเกียวอ่ะ
แล้วเปลี่ยนน้ำแข็งใสจากราดน้ำเชื่อมสตอร์วเบอร์รี่
กลายเป็นรสชาเขียวอุจิได้..กลางอากาศ!!!!



ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือ จะบอกว่าชามันดังอ่ะนะ เหอๆๆๆ

อ่ะ..นอกจากนี้เมืองอุจิยังปรากฎอยู่ในนวนิยายที่ดังมากในสมัยโบราณของญี่ปุ่น
เรื่อง Genji Monokatari อีกด้วย
(เรื่องเกนจินี่ อาจเทียบได้กะขุนช้างขุนแผนไรงี้ได้ไหมนะ แบบว่าเป็นนวนิยายสมัยก่อนอ่ะ)

แม่น้ำสายสำคัญในเมืองอุจิ จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร
แต่กระแสน้ำเชี่ยวกราดมาก ในประวัติศาสตร์บอกว่ามีการสู้รบกัน "ใน" แม่น้ำนี้ด้วย

อ่อ..ที่พามาเที่ยวเมืองนี้เพราะว่าจะพามาวัดหลังเหรียญสิบกัน!
เอ่อ.. วัดนี้ไม่ได้สร้างอยู่หลังกองเหรียญสิบแต่อย่างไร
แต่มีภาพปรากฎอยู่ในหลังเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่นนั่นเอง

เหรียญสิบเยน

วัดนี้ชื่อว่า วัด Byodo-in (平等院)
วัดเบียวโดอินนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 998 ในสมัยเฮอัน
สิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดของวัดนี้คือ Phoenix Hall
ต่อมาวัดนี้ได้ถูกบูรณะโดย Fujiwara no Yorimichi ในปี 1052

นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม ปี 1994 วัดนี้ยังได้รับการยกย่อง
จากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองประวัติศาสตร์เกียวโต

Phoenix Hall อยากได้กล้องที่ถ่ายพาโนราม่าได้เหลือเกินนน

เอาล่ะ..ได้เวลาเดินทางตามรอย Memoir of a Geisha กันแล้ววว
หลังจากนั้นเราก็เดินทางออกจากเมืองอุจิ
ขึ้นรถไฟต่อไปลงที่สถานีชื่อ Fushimi Inari

ที่บอกว่าตามรอยหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่า..
ตอนนั้นที่ซื้อดีวีดีแปดสิบบาทมาดูน่ะ
ก็เห็นวัดๆนึงที่หนูน้อยจิโยะวิ่งไปขอพร
แล้วมันสวยมากอ่ะ.. แล้วก็รู้ว่ามันอยู่ในเกียวโตเนี่ยแหละ
เลยอยากมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หุหุ

จำฉากนี้กันได้ไหม?


ศาลเจ้าที่ว่าชื่อว่า Fushimi Inari Taisha (伏見稲荷大社)
พอเดินทางมาถึงศาลเจ้า ก็เจอรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกเต็มไปหมด


ขนาดแผ่นป้ายที่ให้เขียนขอพรก็ยังเป็นรูปสุนัขจิ้งจอก


ทำไมน่ะเหรอ??
ก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกเปรียบเสมือนสัตว์ศักดิ์สิทธิของที่นี่
ศาลเจ้านี้เชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสารมาจากเทพเจ้า
หางที่สุนัขจิ้งจอกที่ฟูๆนั้นเปรียบเสมือนการออกรวงอุดมสมบูรณ์ของต้นข้าว
สิ่งที่คาบไว้มีสองอย่างคือหินศักดิ์สิทธิ ซึ่งเปรียบเสมือนการปรากฎกายของเทพเจ้า
และกุญแจก็คือกุญแจที่จะนำไปสู่ยุ้งข้าวที่เต็มไปด้วยผลผลิตนั่นเอง

และสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของวัดนี้ก็คือ..
ประตูโทริอิสีแดงที่ตั้งตะหง่านกว่า 10,000 ประตูนั่นเอง


ประตูกว่าหนึ่งหมื่นประตูนี้ตั้งเรียงกันไปบนภูเขา
เป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร


รู้สึกว่าปลายสุดของเส้นทางที่เห็นนี้จะไปเชื่อมกับวัดคิโยมิสึในตัวเมืองเกียวโตนั่นเอง

(หนูน้อยจิโยะวิ่งไกลมากนะ.. ตั้งแต่กิออนมาถึงศาลเจ้านี้ก็หลายกิโลอยู่ อึดจริงๆ หุหุ)

...................................................

อ่า..ตอนนี้ก็หมดเรื่องที่ดองเอาไว้แล้ว
เดี๋ยวต่อไปยังไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรมาเล่า
ถ้าไม่มีอะไรมาแทรก วันอาทิตย์นี้จะไปปาร์ตี้กับสมาคมคนญี่ปุ่นที่รักประเทศไทย
ของมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ทะเลสาบบิวะ จังหวัดชิกะนะ แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง

วันนี้ไปก่อนล่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป..

Tuesday, June 20, 2006

Osaka Museum of History

พอดีอาทิตย์ที่แล้วทำอะไรหลายอย่างเกินไปง่ะ
มีเรื่องมาเล่าเพียบเลย
แต่ไม่อยากอัพเดทที่เดียว
ก็เลยค่อยๆทยอยเอามาเล่าให้ฟังกันเน้อ..

เรื่องที่จะเล่าวันนี้นี่เกิดขึ้นตั้งแต่วันพุธที่แล้วแล้วล่ะ
พอดีเมื่อวันอังคารที่แล้วพี่ใหม่มาทำงานพิเศษที่โอซาก้าพอดี
ก็เลยมานอนค้างบ้านเรา

เช้าวันต่อมาก็เลยพากันไป Osaka Museum of History กัน

เนื่องจากได้สิทธิพิเศษนักเรียนต่างชาติของมหาวิทยาลัยโอซาก้า
งานนี้เลยได้เข้าฟรี แหะๆ
แต่ค่าเดินทางไปก็แพงแล้วอ่ะนะ ก็เลยไม่ได้คิดว่ามันถูกอะไร


พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ข้างๆกับตึก NHK เลย
ที่เห็นกลมๆนี่คือทางเชื่อมที่สามารถเดินข้ามระหว่างสองตึกได้
โอ้.. แค่ข้างนอกก็ประทับใจในสถาปัตกรรมแล้วเธอออ..

ขอเกริ่นกันก่อนว่า..
พิพิธภัฑณ์นี้ตั้งอยู่บนสถานที่ที่เคยเป็นพระราชวงโบราณมาก่อน
นั่นก็คือพระราชวัง Naniwa (เดี๋ยวจะได้รู้ว่าพระราชวังนี้คืออะไร)

รูปนี้อาจจะไม่ค่อยชัด แต่ที่เห็นอยู่เบื้องล่างกระจกนั้นก็คือ..
พื้นดินสมัยโบราณ นั่นคือเป็นพื้นของปราสาทนานิวะมาก่อนนั่นเอง

ขณะนี้..
เราจะพาทุกท่านเดินทางข้ามเวลา
ไปดูโอซาก้าในอดีตกันจ้า...

..............................................

ยุคโบราณ

ยุคโบราณ หรือที่เรียกว่ายุคนานิวะนั้น
ไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นศูนย์กลางของการขนส่งภายในประเทศเท่านั้น
แต่นานิวะยังเป็นเสมือนหน้าต่างในการติดต่อกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกอีกด้วย

เนื่องจากโอซาก้าเป็นเมืองท่า (คงรู้กันใช่ไหม??)
ในอดีตบริเวณนี้ก็เป็นท่าเรือโบราณ เรียกว่า Naniwazu
ซึ่งได้มีการติดต่อกับจีนในสมัยราชวงศ์ Sui (581-618 AD)
โดยได้ส่ง Bunrinro Haiseisei และพระ Ganjin มาเพื่อเจรจาทางการทูต
และรวมถึงยังมีผู้ที่มาติดต่อมากมายจากทั้งทางจีนและคาบสมุทรเกาหลี

ในสมัยนั้นมีการก่อตั้งสถาบันระดับชาติขึ้นมากมาย
รวมถึงเครื่องปั้นดินเผา และพราราชวังนานิวะเองก็ถูกสร้างขึ้นด้วยเช่นกัน

โดยปราสาทนานิวะนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระจักรพรรดิ Shomu ในสมัย Nara
(นาราเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ก่อนที่จะเป็นเกียวโต และโตเกียว ตามลำดับ)

ปราสาทนานิวะถูกสร้างขึ้นบนที่ราบสูง Uemachi
ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นทะเลได้จากระยะไกล

นานิวะโบราณนั้นมีการติดต่อสื่อสารกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออก
โดยการค้าทางทะเล และเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่งมากในยุคเริ่มแรกของญี่ปุ่น

จากที่เห็นในรูปจะเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นในสมัยโบราณนั้น
ได้รับปอิทธิพลจากจีนมามาก ทั้งสิ่งก่อสร้างและการแต่งการ
โดยในรูปเป็นการจำลองห้องโถงใหญ่ของปราสาทนานิวะในสมัยนั้น

ยุคกลาง และยุคต้นสมัยใหม่

เมื่อครั้นเข้าสมัยยุคกลาง
เมืองโบราณต่างๆได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่หลากหลายในโอซาก้า
รวมถึงท่าเรือก็ถูกส้รางขึ้นบริเวณแม่น้ำ Yodogawa

ในสมัย Heian นั้น ท่าเรือ Watanabe-no-tsu
ได้ถูกสร้างขึ้นแทนที่ท่าเรือนานิวะในสมัยโบราณ

ในทางตอนใต้ถนน Kumano ได้ถูกสร้างต่อมาจากท่าเรือ Watanabe-no-tsu
และได้กลายเป็นถนนที่มีผู้คนคับคั่ง โดยเฉพาะผู้แสวงบุญที่จะเดินทางไปยัง Kumano, Koya-san และวัด Shitenno-ji
ชุมชนเมืองต่างๆได้เกิดขึ้นบริเวณวัดวาอารามเหล่านั้นนั่นเอง

ภายหลังศตวรรษที่ 11 ผู้ที่มาแสวงบุญทั้งหลายได้ทำให้เศรษฐกิจในบริเวณนี้เฟื่องฟู
และก่อให้เกิดการค้า และช่างฝีมือมากมายไปด้วย

จวบจนสิ้นศตวรรษที่ 16 ในสมัยของ Toyotomi Hideyoshi
เมืองรอบปราสาทโอซาก้าได้ถูกสร้างขึ้น และได้ประโยชน์จากเมืองข้างเคียงด้วยความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและสังคม

Toyotomi Hideyoshi สร้าปราสาทโอซาก้าเพื่อเป็นศูนย์กลางของญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตามปราสาทและตัวเมืองรอบๆก็ถูกทำลายลงเมื่อสงครามฤดูร้อนของโอซาก้า (the Summer War of Osaka)

โอซาก้าซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการเดินทางทางน้ำนั้นได้ถูกปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่
ในสมัยของโชกุน Tokugawa จนโอซาก้าได้กลายเป็นศูนย์กลาง
ของการค้าและอุตสาหกรรม และได้ถูกเรียกว่า "Tenka no Daidokoro" (ครัวของชาติ)
ผู้คนในระแวกนี้ก็ถูกเรียกว่า "คนเมือง" ไปโดยปริยาย

ในปลายสมัย Edo เศรษฐกิจของโอซาก้าก็สั่นคลอน
เนื่องจากการปฎิวัติทางระบบการเงินในญี่ปุ่น และการเปลี่ยนแปลงในสมัย Meiji นั่นเอง

นิทรรศการในห้องนี้จำลองรูปแบบการเดินทางในสมัยก่อน
คือการเดินทางทางน้ำนั่นเอง .. สมมติให้เราเดินทางไปทางเรือ ผ่านสะพาน


ซึ่งเราสามารถเห็นวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นได้ตามริมแม่น้ำ


ที่เด่นอีกอย่างนึง และที่เราชอบมากก็คือ
การจำลองวิถีชีวิตชาวบ้านโดยใช้แบบจำลอง
ซึ่งแบบจำลองเหล่านี้ก็ทำได้ละเอียดมาก

เมาแอ๋แต่วันเลยคุณลุงคนนี้


อันนี้คุณลุงเจ้าหน้าที่บอกว่า สองคนนี้ไม่ถูกกันเท่าไหร่
เพราะคนนึงเรียนภาษาฮอลันดา อีกคนเรียนภาษาเกาหลี เลยเป็นคนละพวกกัน

คือเค้าเก็บรายละเอียดวิถีชีวิตของคนได้ดีมาก
รายละเอียดทั้งหน้าตา ท่าเดิน กิจกรรมที่ทำ ทำได้น่าประทับใจสุดๆ

เพิ่งนึกได้ว่า.. ไม่เคยเอารัปปราสาทโอซาก้ามาให้ดูกันเลยนี่นะ
คือชอบเอารูปเมืองอื่นมาให้ดู รูปเมืองตัวเองไม่เคยเอาขึ้นเลย เหอๆๆ

รูปนี้คุณพี่ชายถ่ายไว้เมื่อครั้งมาเยี่ยม

ยุคสมัยใหม่และร่วมสมัย

ถึงแม้ว่า"อซาก้าจะประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงประเทศในสมัยเมจิก็ตาม
อุตสาหกรรมผ้าฝ้าย และอุตสากรรมอื่นๆก็ยังมีบทบาทสำคัญในโอซาก้า
อีกทั้งหน่วยงานที่ผลิตเหรียญกระษาปณ์ก็ถูกสร้างขึ้นในโอซาก้าในยุคเมจินี้เอง

ในยุคสมัย Taisho โอซาก้าได้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่น
หลายครั้งโอซาก้าก็ถูกเรียกว่า "เมืองแห่งควัน" เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากนั่งเอง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการเป็นเมืองใหญ่ก็ก่อให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น มลพิษ จำนวนประชากรคับคั่งเกินไป และสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองประทุขึ้นในปี 1941 โอซาก้าได้ถูกโจมตีทางอากาศ ทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก เมื่อสงครามสงบลงก็ได้มีการซ่อมแซมเมืองอย่างรวดเร็ว

ในภาพที่เห็น เป็นภาพจำลองถนนช็อปปิ้งชื่อดังของโอซาก้าคือ Shinsaibashi
ในอดีต (ไม่มีรูปในปัจจุบันให้ดูแอะ ไม่เคยถ่าย แหะๆๆ)


หนังสือเรียนในอดีต (จริงๆเค้าห้ามถ่ายรูปอ่ะ แต่ไม่รู้ มาเห็นภาพตอนถ่ายไปแล้ว ก็เลยเลยตามเลย แหะๆๆ)

..........................................

บรรยายไปบรรยายมา..
หลายๆคนก็คงจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกว่าสมัยไหนมันสมัยไหนกันหว่า
ขอสารภาพว่าเราเองก็แอบบงงๆอยู่เหมือนกัน
เพราะไม่ได้แม่นประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นถึงขนาดนั้น
ทั้งๆที่เคยเรียนมาอยู่บ้าง

แต่หวังว่าการพาเที่ยวของเราวันนี้คงได้ความรู้กลับไปกันบ้างเน๊อะๆๆ

พอมาเห็นพิพิธภัณฑ์สวยๆ ดีๆ แบบนี้แล้ว..
ก็อยากจะเห็นเมืองไทยตั้งใจทำอะไรแบบนี้ให้เด็กๆมาศึกษาหาความรู้กันมั่งจังอ่ะ

จำได้ว่าตอนเด็กๆไม่ชอบไปพิพิธภัณฑ์เลย เพราะมีแต่ของเก่าๆ อะไรก็ไม่รู้
แล้วก็มีกระดาษแปะๆให้อ่านเอง แต่ที่นี่มีทั้งวีดีโอบรรยาย
มีเกมส์ให้เด็กๆเล่น มีแรลลี่ให้เด็กๆหาคำตอบ
คือขนาดชั้นแก่ขนาดนี้ชั้นยังสนุกเลยเธอ

อยากให้ภาพพิพิธภัณฑ์ในสายตาของเด็กไทยเป็นสถานที่ที่สนุก
และได้ความรู้ควบคู่ไปด้วยแบบนี้ ไม่ใช่เข้าไปแล้วก็สักแต่อ่านๆๆๆ อย่างเดียว
คือเราเองยังไม่อ่านเลยอ่ะ เหอๆ

หวังว่ามันจะเกิดขึ้นสักวันนึงอ่ะนะ

Sunday, June 18, 2006

Ninja Experience!

สวัสดีผองเพื่อน
เมื่อวานนี้ได้ไปร่วมคณะนักเรียนต่างชาติ
งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหกรณ์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
ทำให้เราได้ไปทริปที่จังหวัด Shiga ด้วยราคาถูกแสนถูก คือ 1,500 เยนเท่านั้นเอง

ออกเดินทางออกจากมหาวิทยาลัยแต่เช้าร่วมกับชาวคณะร่วม 50 ชีวิต
ไปถึงหมู่บ้านนินจา (忍者村) เวลาเที่ยงตรง
ซึ่งช้ากว่ากำหนดการถึง 45 นาที

ลงจากรถบัส.. เห็นป้ายต้อนรับก็ตื่นเต้นกันแล้ว

ป้ายนี้เขียนว่า "ลงจากม้า"

จะบอกว่าก่อนงานนี้จะมาถึง ตื่นเต้นมากนะ
คือแบบ อยากเป็นนินจาไง คิดไว้แล้วว่าต้องสนุกมากๆแน่ๆ

แต่ทว่า...
พอเข้าไปถึงแล้ว
ก็คุยกับเพื่อนๆกันว่า ตกลงที่นี่มันเก่าจริง หรือว่าเค้าตั้งใจทำให้มันดูเก่ากันแน่นะ
ขอบ่นนิดนึง คือมันทั้งเก่า (แผนที่ที่แปะอยู่ที่ผนังก็ดูไม่ออกแล้วว่ามันเคยเขียนว่าอะไรมาก่อน จางเหลือเกิน)
ทั้งสกปรก (ร้านขายของที่ระลึกยังแย่เลย สิ้นค้าทั้งหลายแหล่มีฝุ่นเกาะไปหมด) ของเครื่องเล่นก็พัง
ตอนนั้นก็เดินหาตามแผนที่จะไปด่านหินอะไรสักอย่าง พอไปถึงมันก็ไม่มีด่านนั้นให้เห็นแล้วอ่ะ

คือมันแย่มากอ่ะนะ..
เหมือนว่าสถานที่นี่ไม่มีคนมาเล่นร่วมสิบปีแล้ว
ได้เจอตู้กดโค้กรุ่นโบราณ คาดว่าตั้งแต่สมัยนินจา เหอๆ

แต่อย่างไรก็ตาม..
ขอเอาภาพเครื่องเล่นเล็กๆน้อยๆมาให้ชมกันหน่อยละกัน

อันนี้รู้สึกว่าจะเป็นเส้นทางลับ พอเข้าไปแล้วก็เป็นอุโมงค์ๆอ่ะ แล้วก็ไปโผล่อีกที่นึง


ฝึกฝนการเดินบนน้ำแบบนินจา


ปาดาวกระจาย.. แปดแผ่นสามร้อยเยน แต่ก็เอาเหอะ เล่นๆเค้าหน่อยเดี๋ยวเค้าไม่มีรายได้


อืม.. น่าจะเรียกว่าเป็นทาร์ซานมากกว่านินจา


ได้มีโอกาสประมือกับนินจารุ่นจิ๋ว.. เหอๆอันนี้น่ารักสุดละ บังเอิญมีเด็กคนนึงมาเที่ยว เห็นบอกโตขึ้นอยากเป็นนินจา อยากเข้าโรงเรียนนินจา คือขอถ่ายรูปด้วยแล้วแกไม่ยอมอ่ะ เลยได้รูปแบบนี้ไปแทน


อันนี้แถมๆ.. เป็นรูปนินจาน้อยกำลังออกมาจากทางลับในบ้านอยู่ เหอๆ

...................................................

หลังจากนั้นก็เดินทางไปสถานที่ที่สองของวันนี้
นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์นินจา


อันนี้ค่อยดูดีหน่อย..
บ้านที่เห็นนี้เป็นบ้านนินจาเก่านะ ข้างในมีกลไกเต็มไปหมด
มีคุณลุงมาบรรยายให้ด้วย

คุณลุงบอกว่า ปัจจุบันนี้มีคนหลายคนที่ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นนินจา
แล้วก็อยู่บ้านไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าบ้านนั้นมีกลไกอะไรบ้าง

และจริงๆแล้ว คนต่างชาติมักคิดว่านินจาเนี่ยต้องเป็นพวกนักสู้
แต่จริงๆแล้ว กฎหลักของการเป็นนินจาก็คือ การหนี!
คือถ้าหนีไม่รอดก็เปล่าประโยชน์อ่ะ เครื่องมือทั้งหลายที่ใช้ก็เพื่อการหนีโดยทั้งสิ้น เหอๆ


อันนี้เป็นรูปกนามที่ใช้โปรยอ่ะ เคยดูในการ์ตูนป่ะแบบว่าโปรยลงพื้นคนที่วิ่งๆตามมาก็โดนทิ่มเท้าหมด
หรือพอม้าโดนตำเท้าก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ซึ่งคนที่อยู่บนม้าส่วนมากจะเป็นหัวหน้าใช่ป่ะล่ะ
พอหัวหน้าหยุดคนอื่นก็ทำไรไม่ได้ ซวยไป เหอๆ


หลุมใต้ดิน เป็นทางลัดหลบหนีทางใต้ดิน


สุดท้าย อปุกรณ์ทำให้เกิดซุ่มเสียง จะได้รู้ว่ามีคนหลบเข้ามาในบ้านหรือเปล่า

จบแล้วฮ่ะทริปนินจา..
แอบน่าเบื่อเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นบ้านนินจาของจริงแหละว้า
ภาพที่เคยเห็นในการ์ตูนก็แอบชัดขึ้นเล็กน้อย

สนุกดี..
แล้วก็ได้เพื่อนใหม่กลับมาหลายคน
ซึ่งคิดว่าเป็นส่วนดีที่สุดของการมาทริปแบบนี้ ^^

Friday, June 16, 2006

คุณครูจำเป็น และนักเรียนที่น่ารัก


จากซ้ายไปขวา: (บน) อายาโนะ คาสึมิ เรียว เทรุโอะ โบว์ (ล่าง) มิโฮ อาสึชิ

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา..
มีโอกาสได้ไปทำงานพิเศษมา

งานพิเศษที่ว่า พี่ใหม่แนะนำให้ไปทำแหละ
เป็นโครงการของ WAK (Women Association of Kyoto)
เหมือนว่าเป็นโครงการให้คนญี่ปุ่นได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวต่างชาติ

งานของเราวันนี้ก็คือการไปเป็นคุณครูจำเป็น
คือ มันจะมีเด็กมาทัศนศึกษาที่เกียวโตอ่ะ
เป็นเด็ก ม.3 ของโรงเรียนมัธยม Yamato จังหวัด Kanagawa

หน้าที่ของเราก็คือ เหมือนเป็นพี่เลี้ยงประจำกลุ่มของนักเรียนหกคน
และไปพูดภาษาอังกฤษด้วย

ก่อนหน้านี้พี่ใหม่เคยบอกว่า มันมีเด็กหลายประเภทนะ
เด็กบางประเภทก็จะไม่พูดเลย ไม่มีส่วนร่วมใดๆทั้งสิ้น
แต่เราว่าเด็กเรากลุ่มนีน่ารักมากอ่ะ
ถึงแม้มันจะพูดไม่ค่อยได้ ฟังเราไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่มันก็พยายามจะพูดให้ได้อ่ะ

ตอนแรกที่เจอเด็กนะ ทุกคนก็อ่านตามโพยที่ตัวเองจดมา
ประมาณว่าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ประมาณนี้
ไอ้เรากับคนยูโกสลาเวียข้างๆ ก็นั่งเม้าท์เด็กกัน
โดยเม้าท์เป็นภาษาอังกฤษแหละ แต่พูดให้มันเร็วๆๆๆๆๆ มันจะได้ฟังไม่รู้เรื่อง
ฮ่าๆๆๆๆๆ แกล้งเด็กๆ

แต่เด็กมันก็พยายามจริงๆนะ
คือทางโปรแกรมบอกเราว่าให้เราแกล้งทำเป็นว่าฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง
(ซึ่งคงไม่ต้องแกล้งมากเท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยได้จริงๆ ฮ่าๆ)
แต่คือเราก็ฟังออกบ้างนะ บางทีเด็กไม่รู้จะพูดยังไง
พอถามเพื่อนเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ฟังออกไง เราก็เลยทวนประโยคนั้นเป็นภาษาอังกฤษให้

หลังจากทริปนี้เราได้ยินเด็กๆหลายคนพูดว่า
"อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆจังน้า~~~"
ได้ยินก็รู้สึกดีแล้วอ่ะ ที่เด็กมันพยายาม

ทริปนี้ถึงแม้จะได้คุยกับเด็กๆผู้ชายมากกว่า
(เพราะคุยเรื่องบอล ฮ่าๆ) และมักมีเด็กกรุ๊ปอื่นมาแจมคุยเรื่องบอลด้วย
แต่เด็กผู้หญิงก็ทำให้เราขำอยู่เรื่องนึง

เรื่องของเรื่องคือ..
มิโฮะจังเดินเข้ามาถามเราด้วยภาษาอังกฤษงูๆปลาๆของเธอ
ซึ่งเราฟังไม่ออกหรอก แต่เราฟังภาษาญี่ปุ่นของเธอออกมากกว่า
จับเนื้อความได้ประมาณว่า ชอบผู้ชายอยู่คนนึง ทำยังไงดี
แล้วเธอก็ชี้ไปที่นักเรียนอีกกลุ่มนึง
ซึ่งมีเพื่อนคนยูโกสลาเวีย ชื่อ Josef ที่เม้าท์กันในรถเมื่อกี้เป็นพี่เลี้ยง

ด้วยความเป็นพี่เลี้ยงที่ดี ต้องการให้ความรักน้องสมหวัง
เราก็เลยบอกน้องว่าให้เข้าไปคุยเลยยย
แล้วก็พาเด็กๆกลุ่มเราไปรวมกับกลุ่มนั้น

แล้วเราก็กระซิบกระซาบกับ Jozef ว่า..
เนี่ยๆ มีเด็กกลุ่มเราชอบเด็กกลุ่มเธออยู่
พลางก็มองในกลุ่มนั้น.. เอ๊ะ ไม่เห็นจะมีผู้ชายคนไหนหน้าตาดีเลยนี่หว่า

แต่ทว่า...
คนที่มิโฮจังชอบก็คือ..

Jozef -_-"

เพราะเมื่อเธอถามชื่อเค้าเสร็จแล้ว
เธอก็เรียกเค้าว่า "Jozef, my lover boy"

-_-"

เราก็เลยบอกตา Jozef ว่า..
"The boy she likes is you.."
แกก็ตกใจ.. หา "It's me!?!"

แต่ก็ได้ถ่ายรูปกันไปตามระเบียบ

.......................................

บทสรุป..
ถึงแม้อากาศจะแย่แค่ไหน
ฝนตกตลอดเวลา รองเท้าแฉะ กางเกงเปียกไปหมด
ถึงแม้ว่าเด็กผู้ชายกลุ่มเราจะหล่อสู้เด็กกลุ่มอื่นไม่ได้
เพราะอยู่ชมรมบอล และเบสบอลก็ต้องโกนหัวตามระเบียบ
ถึงแม้จะสื่อสารกับเด็กๆงูๆปลาๆ และดูเหมือนเราจะเข้าใจเด็กมากกว่าเด็กเข้าใจเรา

แต่การได้มาทำงานวันนี้...
และค่าจ้างอันน้อยนิดกลับไม่ทำให้เราเซ็งเลย

และรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเด็กๆได้พยายาม ^^

Tuesday, June 13, 2006

ความสุขและความเศร้าของชาวญี่ปุ่น


1-0


เย้~~!!!!!


ยิปปี้~~~!!!!!!


"ดีใจมากค่ะ..."





หลังจากนั้น...






1-1



อ่า.... เสมอจนได้





หลังจากนั้นอีกหน่อย...






1-2


โอ้ววววว ไม่น่าเล๊ยยยยยยยยยยยยยย




หลังจากนั้นอีกแป๊บนึง...






1-3


.....................................

..........................................................

...................................................................
จบข่าว




ปล. ขอภัยที่รูปห่วยไปหน่อย ไม่ได้ออกไปดูกับคนญี่ปุ่นนะ มันอีกแคมปัสนึง พอบอลจบรถไฟก็หมดแล้วกลับบ้านไม่ได้อ่ะ เพราะงั้นเลยถ่ายรูปจากทีวีมาแทน...

ได้อารมณ์เหมือนกัน หุหุ