Kyushu Trip
สวัสดีมิตรรักแฟนบล็อคทุกท่าน
ไม่ได้อัพเดทมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม
ยังมีคนอ่านอยู่เปล่าหว่า อ่ะเหอๆๆๆ
อย่างที่แจ้งให้ทราบในบล็อคที่แล้วว่าจะไปเที่ยว
วันนี้มาเฉลยแล้วล่ะ หลังจากละลายเงินที่มีอยู่
ไปกับค่าเดินทาง ค่าเข้าชมสถานที่และค่ากิน อ่ะเหอๆๆ
เด็กทุนเงินเดือนแปดหมื่นอย่างเรา
ไปเที่ยวห้าวันใช้ตังค์ไปเจ็ดหมื่นกว่า
ตอนนี้เลยเป็นยาจกปายเลยยยย เหอๆๆๆ
ใครที่สังเกตุเห็นหัวข้อตัวเล็กกระจ้อยร่อย
ก็คงรู้ว่าไปไหนมา..
รายละเอียดขอลงไม่มากละกัน
มันเยอะเหลือเกินนนน รูปภาพร่วมพันรูป
เลือกมาให้ดูส่วนหนึ่ง ซึ่งก็เยอะอยู่ดี
ใครมีเน็ทความเร็วต่ำโปรดระวัง หุหุ
แผนที่เส้นทางการเดินทาง ลากเส้นมั่วมาก ดูเป็นแนวทางพอนะ
(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่นะ)
โอเคเฉลยๆ..
ไป Kyushu (九州) มาเด้ออออ
คิวชูเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดลำดับสาม จากสี่เกาะหลักของญี่ปุ่น
และตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดและใต้สุดของเกาะญี่ปุ่นอีกด้วย
เกาะคิวชูประกอบไปด้วย 7จังหวัด คือ
-Fukuoka(福岡)
-Kagoshima(鹿児島)
-Kumamoto(熊本)
-Miyazaki(宮崎)
-Nagasaki(長崎)
-Oita(大分)
-Saga(佐賀)
ซึ่งคราวนี้เราไปมาทั้งหมด 6จังหวัด
ขาดแค่ซากะจังหวัดเดียว...
ขอเริ่มการเดินทาง ณ บัดนี้
คืนวันอังคารที่ 30 พฤษภาคม
ออกจากท่าเรือโอซาก้าโดยเรือเฟอร์รี่ มุ่งหน้าไปยังเมือง Beppu(別府)จังหวัด Oita
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม
ถึง Beppu เช้าวันต่อมา รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 11 ชั่วโมง
อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าล้างตาที่ Takegawara Onsen
ซึ่งเป็นที่อาบน้ำสาธารณะเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโชวะ
ไปเช่ารถ.. พาหนะสำคัญในการเดินทางครั้งนี้
สมาชิกทั้งหมด.. หน้าเดิมกับทริปที่แล้วขอไม่บรรยาย ฮ่าๆๆๆๆ
หลังจากนั้นก็ขับรถไปยัง Hell Hotsprings ชื่อดังของเบ็บปุ
ซึ่งมีทั้งหมดแปดบ่อ ตามที่เห็นในรูป
บางบ่อก็สวยจริงๆอ่ะนะ
แต่บางบ่อแอบเหมือนโดนหลอกให้ไปงั้นๆอ่ะ
แบบมีนกฟลามิงโก ฮิปโป จระเข้อะไรให้ดู..
ดูสามพรานก็ได้ว้า~~
เอาภาพบ่อที่ดังที่สุดมาให้ดูสองบ่อ
บ่อสีฟ้า ชื่อ Umi Jigoku(海地獄)แปลว่าบ่อทะเล
บ่อสีแดง ชื่อ Chinoike Jigoku (血の池地獄)แปลว่าบ่อเลือด
จากภาพคงไม่ต้องบรรยายมากว่าทำไมถึงได้ชื่อนี่ใช่ไหม เหอๆๆๆ
แถมรูปช่วงเทศกาลของเบ็บปุ ที่ไปถ่ายมาจากโปสเตอร์ให้ดูอีกหนึ่งรูป
โอ้... ช่างนรกจริงๆเลยจอร์จ
ควันที่เห็นนี่คือควันจากออนเซ็นทั้งนั้นเลยนะ
ตอนเรือเทียบท่าก็เห็นควันออกมาจากเกาะแบบนี้แหละ
หลังจากจบแปดบ่อ มีทั้งตื่นเต้นและผิดหวัง
ก็เดินทางต่อไปยังเมืองเล็กๆในจังหวัดโออิตะ ชื่อ Yufuin(湯布院)
ตามคำแนะนำของน้องจาวตาล (รุ่นน้องสมัยอยู่เตรียมฯ)
แต่มีเวลาไม่มาก ทริปนี้เวลาจำกัดสุดๆ เหมือนมาทัวร์ ฮ่าๆๆ
เลยไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่เมืองนี้นานเท่าไหร่ แค่กินข้าว ถ่ายรูป แล้วก็ออกเดินทางต่อ
อ่อ...
ส่วนเพื่อนนายแบบคนฟิลิปปินส์นั่นน่ะนะ
ไม่ได้เจอหรอกคราวนี้ ทั้งๆที่เจ้าตัวอยู่เบ็บปุแท้ๆ
เพราะว่าทริปนี้รีบมาก ไม่มีเวลาเยี่ยมญาติเลย ฮ่าๆ
รีบจริงๆ.. ดูดิ คนขับหน้าเครียดเลย หุหุ
หลังจากนั้นก็ไปต่อที่ Kuju Hana Koen(くじゅう花公園)
ที่เห็นคือดอกป็อปปี้ ที่เค้าเขียนในป้ายว่าบานเต็มที่ในช่วงนี้
เต็มที่จริงๆ เต็มที่จนห้ามเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะดอกมันแอบเหี่ยวแล้ว เหอๆๆ
ดูไกลๆให้รู้ว่าสวยพอนะ
ที่นี่ได้ประสบการณ์ในการกินซอฟท์ครีมรสหญ้าเป็นครั้งแรก
คือเค้าบอกว่ามันรสลาเวนเดอร์อ่ะนะ สีม่วงด้วย
แต่เราว่ามันเป็นรสหญ้ามากกว่าอ่ะ เหอๆๆๆ
แล้วก็บึ่งรถต่อไปยังจังหวัด Kumamotoเลย
สาเหตุที่ทำให้ต้องบึ่งอย่างด่วนขนาดนี้ เพราะว่าต้องการจะไปกินเนื้อย่างก๊า
เห็นในหนังสือนำเที่ยวที่วางในร้านอาหารตอนมื้อเที่ยง
เลยจดเบอร์มาแล้วก็บึ่งไปในทันที
เนื้ออะไรอะเหรอ เหอๆๆๆ...
เนื้อม้าจ๊ะ ใครเคยอ่านบล็อคเก่าๆ เราเคยโวยวายเรื่องเนื้อม้าอยู่ครั้งนึง
ถ้าจำไม่ได้ คลิ๊ก
ประจานตัวเองสุดๆ ฮ่าๆๆๆๆ
กินเสร็จก็ไปโรงแรม
แช่ออนเซ็น เล่นเกมส์ฝึกสมองทางคณิตศาสตร์ (ดัมมี่)
แล้วก็เข้านอนน
วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน
ตื่นเช้ามามุ่งหน้าไปยัง Mt.Aso (阿蘇山)
ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิท ระหว่างที่ขับรถจะมาที่โรงแรมเมื่อวานนี้
ก็เห็นควันจากภูเขามาแต่ไกลเลย แอบกลัวมันจะระเบิดเล็กน้อย เหอๆ
แอบเสียค่าโง่ขึ้นกระเช้าขึ้นมาบนเขาเล็กน้อย เนื่องด้วยความไม่รู้
ไม่รู้ว่ามันเอารถขึ้นมาได้ อ่ะเหอๆๆๆ
รูปนี้มองผ่านคนไปนะ.. จะเห็นลาวาที่ดำแล้วเป็นชั้นๆ
เอ๊ะ.. แล้วสองคนนี้มันยังไงกันเนี่ย มาเลียนแบบท่าประจำเรา
ที่เห็นไม่ใช่บ้านของชาวดาวนาเม็กแต่อย่างใด
แต่มันคือ Aso Farm Land (阿蘇フアムランド)
ที่เห็นคือที่พักค่ะคุณ แอบมองแล้วข้างในมีเตียงสี่เตียง ห้องน้ำ ทีวีพร้อม
แต่ถ้ามาพักที่นี่คงอ้วน เพราะมันเป็นฟาร์มแลนด์อ่ะนะ
นมอร่อยยยยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ถ้าเราโตมาด้วยนมรสชาติอย่างงี้เราคงสูงไปแล้วอ่ะ เหอๆๆๆ
ขับรถขึ้นเรือข้ามฟากต่อไปยังจังหวัดNagasagi เด้ออออ
สถานที่แรกที่ไปคือ Unzen Hotspring (雲仙地獄)
ซึ่งเป็นออนเซ็นที่มีเอกลักษณ์มาก..
นอกจากควันเยอะแล้วยังไม่พอนะซาร่าห์ กลิ่นยังมหาเหม็นเน่า..
สงสัยเหลือเกินว่าโรงแรมที่เปิดแถวนี้มันมีคนเข้าไปพักได้อย่างไร
อยู่ได้ไม่นานพลพรรคก็ขอจรลีจากโดยด่วน
โดยมีกลิ่นไข่เน่ามาเป็นของฝากติดผมและมือไปตลอดวัน
เข้าสู่ตัวเมืองนางาซากิยามโพล้เพล้แล้ว
ที่เห็นคือ Urakami Cathedral(浦上大聖堂)
อ่อ นางาซากิเนี่ย หลายๆคนคงเคยได้ยินกันเป็นอย่างดีว่าเป็นเมืองลำดับสอง
และเมืองสุดท้ายที่โดนระเบิดปรมาณูในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ถัดจากเมืองแรกคือฮิโรชิม่าไม่กี่วัน (อ่านเรื่องฮิโรชิม่าได้ ที่นี่ )
นอกจากนี้เมืองนี้ยังเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น
รองจากโยโกฮาม่าในอดีตอีกด้วยนะ
(อ่านเรื่องโยโกฮาม่าได้ที่นี่)
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นางาซากิจะเป็นเมืองที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
และศาสนาคริสต์อย่างที่โยโกฮาม่า และโกเบเป็น
(อ่านเรื่องโกเบคลิ๊กที่นี่เลยจ้า)
โบสถ์อุราคามิที่เห็นเนี่ย จากที่อ่านตามป้ายข้างถนนที่บรรยายมา
ก็ได้รู้ว่าโบสถ์นี้เคยเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก
แต่เมืองสงครามโลกครั้งที่สอง โบสถ์นี้ก็ได้รับความเสียหายมาก
จากระเบิดปรมาณู จึงได้สร้างขึ้นใหม่เป็นแบบที่เห็นนี้แหละจ้า
เดินต่อไปยัง Peace Park จ้า
สวนสันติภาพนี้ไม่ใหญ่เท่าที่ฮิโรชิม่า แต่ก็ดูขลังไปอีกแบบ
มีพิพิธภัณฑ์ด้วยเหมือนกัน แต่คราวนี้ไม่ได้เข้าไปดู
เพราะว่ามาถึงก็เย็นแล้ว มันปิดหมด เหอๆๆ
ที่เห็นในรูปคือน้ำพุที่สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหตุการณ์ในครั้งนั้น
ที่สร้างเป็นน้ำพุก็เพราะว่า เมื่อระเบิดลงที่เมือนี้ผู้คนล้มตายเพราะกระหายน้ำกันเยอะนั่นเอง
มองผ่านน้ำพุไปตรงกลางจะเห็นคุณผู้ชายคนนี้
ซึ่งก็คือ Peace Statue
มือซ้ายชี้ไปยังสวนสันติภาพ ส่วนมือขวาที่ยกขึ้นแสดงถึงสันติภาพนั่นเอง
แล้วก็เดินทางไปยังโรงแรม
พักผ่อน เพื่อเดินทางในวันต่อไปจ้า
วันศุกร์ที่ 2มิถุนายน
เช้าวันต่อมา อากาศสดชื่นมาก
พยากรณ์อากาศบอกฝนจะตกโกหกสุดๆ
มีดอกไม้.. (ชื่อไรหว่า จำไม่ได้ซักที)บานต้อนรับทั่วเมืองไปหมด
ที่ๆจะไปวันนี้คือ Glover Garden(グラバー園)
เป็นสวนที่มีบ้านแบบตะวันตกอยู่ ซึ่งเป็นบ้านของคุณโกลเวอร์ ชาวสก็อตแลนด์นั่นเอง
ว่ากันว่าบ้านนี้เป็นฉากของละครโอเปร่าชื่อดังคือ Madame Butterfly ด้วยนะ
แล้วมันไม่ได้มีแค่บ้านเดียวนะ มีหลายบ้าน แถมมีร้านน้ำชา (ฝรั่งนะ ไม่ใช่โรงเตี๊ยม เหอๆ)
ไฮโซมากมาย...
ขึ้นไปชั้นสองของบ้านคุณโกลเวอร์แล้วมองออกไปนอกระเบียง
ก็จะเห็นทิวทัศน์ของเมืองนางาซากิด้วยนะ งามมากๆๆๆ ชอบมากๆๆๆๆ
แถมมีเกมเล็กๆให้เล่นด้วย คือการเดินหากระเบื้องรูปหัวใจ
ที่อยู่ตรงพื้นน่ะ มีอยู่สองดวง
ข้างๆบ้านโกลเวอร์เป็นโบสถ์ Oura Catholic Church
ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยมิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศส
จนปัจจุบันโบสถ์นี้ก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่บอกว่า
นางาซากินั้นมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับประเทศตะวันตกนั่นเอง
ที่เห็นในรูปเรียกว่า Hollander Slope
ที่ถูกเรียกเช่นนี้เพราะว่าสมัยก่อนชาวนางาซากิจะเรียกชาวตะวันตกว่าชาวฮอลแลนด์
ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของบ้านของชาวตะวันตกที่มาตั้งรกรากอยู่ในนางาซากิ
ในสมัยก่อนนั่นเอง
ตอนเที่ยงไปกินอาหารจีนกันที่ China Town จ้า
ได้เวลาอาหมวยทั้งสามกลับถิ่น หุหุหุ
(อย่าสงสัยว่าทำไมเรื่องนางาซากิมันเขียนเยอะจังวะ
แบบว่า ชอบมากเป็นการส่วนตัว เหอๆๆๆ)
แล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยังจังหวัด Fukuoka
พอไปถึงโรงแรม ก็แอบเห็นว่าเมืองนี้มันมี Outlet นักช็อปปิ้งทั้งสี่
ก็เลยมุ่งหน้าไปที่ Outlet เตรียมตัวเสียตังค์กันเต็มที่
ทั้งๆที่ไม่มีตังค์ เหอๆๆๆๆๆๆ
ที่เห็นในภาพคือ ร้านอาหารแผงลอย (屋台)
เปิดทั้งหนังสือท่องเที่ยว และเว็บท่องเที่ยวแล้ว
สถานที่สำคัญที่ห้ามพลาดก็คืออีเนี่ยแหละ
มื้อเย็นวันนี้ก็เลยเป็นราเม็งสูตรฟุกุโอกะ ที่แผงลอยนี้แล
อันนี้หน้าตามันคุ้นๆอ่ะ เหอๆๆๆๆๆ
และถ่ายรูปกับ Fukuoka Dome (福岡ドーム)
และ Fukuoka Tower
วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน
ตื่นแต่เช้า เพื่อเดินทางเข้าสู่จังหวัด Miyazaki
เป้าหมายของวันนี้คือการไปว่ายน้ำ!!!
ที่นี่คือ シーガイア Ocean Dome
ได้ลงกินเนสบุ๊คด้วยนะ ว่าเป็น "The largest indoor water park in the world"
ใครที่เคยได้ฟอร์เวิร์ดเมล แบบเป็นทะเลในร่วมสวยๆ ก็ที่นี่อ่ะแหละ
ชุดว่ายน้ำอ่ะเหรอ...
ซื้อที่ Outet ที่ฟุคุโอกะเมื่อวานไง เหอๆๆๆ
แต่ไม่มีรูปให้ดูนะ โทษที ฮ่าๆๆๆ
มาเมืองนี้เพื่อว่ายน้ำอย่างเดียวอ่ะนะ เหอๆๆๆ
มีของแถมเป็นคนเล่นเซิร์ฟบิร์ดโชว์ด้วย โอ้โห หุ่นดีจัดๆอ่ะ
แต่เห็นไกลๆนะ หน้าตาไม่รู้ดีไปด้วยหรือเปล่า
หลังจากว่ายน้ำเสร็จ ก็เดินทางต่อเลย
ขึ้นเรือข้ามฟากต่อไปยังจังหวัด Kagoshima
มื้อเย็นวันนี้เป็น "ข้าวหน้าหมูดำ"
(ชื่อมันอาจทำให้น้องบางคนที่คณะสะดุ้ง..เหอๆๆ เพื่อนๆไปบอกน้องเค้าด้วยนะ
ว่ามันมีอาหารเมนูนี้อยู่จริงที่ญี่ปุ่น)
ชื่อแปลกๆ น่ากลัวไปซะหน่อย แต่มันอร่อยมากกกกกกกก
ขอบอกได้ว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดตั้งแต่มาที่คิวชูเลยอ่ะ
เอารูปสถานีรถไฟคาโกชิม่า (鹿児島駅)มาฝาก
มันสวยดีอ่ะ ส่วนอนุสาวรีย์ที่เห็นนั้น
ตอนแรกให้อารมณ์เหมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไงไม่รู้ เหอๆ
แต่พอไปอ่านก็ปรากฎว่าเป็นอนุสาวรีย์ของชาวเมืองนี้
สิบแปดคนแรกที่ออกไปเรียนที่ต่างประเทศ(สิงคโปร์) ในสมัยที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ
อ่านแล้วแอบขำตรงที่บอกว่า พวกเขาตกใจมากที่เห็นวัฒนธรรมตะวันตก
เช่น การแสดงความรักกันในที่สาธารณะ ฮ่าๆๆ เข้าใจยกตัวอย่างนะ
แล้วสิบแปดคนนี้ยังเป็นคนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สมัยใหม่อีกด้วย
วันอาทิตย์ที่4มิถุนายน
เห็นในรูปอาจงงว่ามันทำอะไรกันหว่า ฮ่าๆๆ
นี่กำลังแช่ Sand Bath อยู่ที่ Ibusuki Onsen(指宿温泉)
ซึ่งชื่อดังมากนะ แช่ทรายอุ่นๆริมทะเล อาการปวดเมื่อยหายไปหมด
ตามด้วยแช่ออนเซ็น สบายยยยยยยย
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับโอซาก้า..
โดยพี่จิ๋วแยกตัวกลับไปก่อน เพราะวันต่อไปต้องไปรายงานตัวทำงาน
ที่นาโกย่าแต่เช้า พวกเราสามคนที่เหลือก็นั่งรถมาราธอนกลับไปที่มิยาซากิ
แล้วก็นั่งเรือเฟอร์รี่ Osaka Express(大阪エキスプレス)
ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 12 ชั่วโมง..
แถมเรือสั่นโคลงมากๆ เดินไปเซไปตลอด เนื่องจากฝนตก คลื่นใหญ่
สมาชิกจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอนเพื่อไม่ให้เอาอาหารที่เพิ่งกินไปออกมาทางปาก เหอๆๆ
ถึงโอซาก้าเช้าวันจันทร์ที่ 5มิถุนายน โดยสวัสดิภาพ
ของแถม..
รูป Original
รูปคราวที่แล้ว
และรูปคราวนี้
ฮ่าๆๆๆ ชอบกันเหลือเกินรูปเลียนแบบเนี่ย หุหุ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านบล็อคสุดยาวววววว ของวันนี้นะคะ
แล้วพับกันโอกาสหน้าจ้า~
11 Comments:
ทริปนี้ของกินเพียบอีกแล้วสินะ
หรือเราอ่านแต่ของกินหว่า :D
chob last pic eek leawww graarrggggggggg hahaha
กร๊ากกกก หน้าตาตอนแช่แซนบาธฮากันมากอะ เหลือแต่หัว เอิ๊กๆๆ
โอเชี่ยนโดมน่าเล่นมากกก กรี๊ดกร๊าด คนละอารมณ์กับสวนสยามทะเลกรุงเทพเลยแฮะ
miss Kyushuu a lot...
especially, Kagoshima and Nagasaki
โอวววว มันสุดยอดจิงๆ เล้ย นะค๊าบ พี่น้อง
เที่ยวระเบิดแบบนี้ ระวังจะจนนะ เหอๆ
อยากเที่ยวมั่ง ไปไหนก็ได้ เบื่อมากก
take care
เปนห่วงนะ -_-
โห... อัพเร็วมากกกกก ตอนแรกกะจะว่าแล้วนะเนี่ยะว่าเขียนแผนที่ได้มั่วมาก แต่ว่ามีเขียนสารภาพไว้แล้วว่ามั่ว เลยไม่ว่าดีก่า... ฮาฮา ไว้พี่หายขี้เกียจเมื่อไหร่จะอัพมั่งเน้อ
ป.ล. คนขับโดนทารุณกรรมมากครับงานนี้ โดนเร่งให้ทำเวลาทุกวันเลยวุ้ยยย -"-
ยาวอ่ะ อ่านไม่หมด
โทดทีนะแก
อีกไม่กี่เดือนก็กลับมาแล้วนะ หุหุ
กลับเมืองไทยอย่าลืมรวมเล่มขายนะ...
ต่อมอยากเริ่มทำงานอีกแล้วนะซาร่าห์
จอร์จ (ต้น)
yea yea
finally...u've updated ur blog.
(n' i got to read another nice?? trevelling story.)
also, agree with p' hui that u should publish ur blog when u'r back in thailand a' :)
Post a Comment
<< Home