zz *Bow's Journey Under the RainBow*: ความแตกต่าง?!?

*Bow's Journey Under the RainBow*

And this is a little journey of me...

Friday, February 10, 2006

ความแตกต่าง?!?

(ทำใจก่อนอ่าน...วันนี้ยาวมากกกกก)

...............................................................

หลังจากขจีภรณ์ได้อัพเดทเรื่องไร้สาระมาได้หลายครั้งแล้ว
รู้สึกไม่ได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาสักเท่าไหร่



คือ..เริ่มรู้สึกว่าตัวเองโง่ลงมาได้สักพักหนึ่งแล้วล่ะ
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ใช้สมองในทางวิชาการเลยยยย
เป็นระยะเวลากว่าห้าเดือนแล้วนับตั้งแต่ได้มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น
ใครได้เห็น display picture เราเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาแล้วสงสัย
ก็คงเข้าใจเหตุผลกันแล้วใช่ไหม หุหุ



วันนี้อยากจะเขียนเรื่องมีสาระกันสักหน่อย
อย่าเรียกว่าเขียนเลย อยากเรียกว่ามานั่งคุยกันดีกว่า
ใครเข้ามาอ่านไดอารี่เราในวันนี้อยากแสดงความคิดเห็นอะไรก็เชิญนะคะ
เพราะเริ่มไม่มั่นใจในกระบวนการการคิดวิเคราะห์ของตัวเองเท่าไหร่แล้ว
หลังจากที่ได้ห่างเหินรายงานของคณะรัฐศาสตร์
ที่ถ้านับเวลารวมๆกันแล้ว อาจจะกินเวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตมหาวิทยาลัยของเราไปเลย
แต่มันก็ทำให้เราบริหารสมองที่มีหยักอยู่น้อยนิดของเราให้มีหยักเพิ่มขึ้นมาได้บ้างเหมือนกันนะ



และขอออกตัวไว้ก่อนว่าบทความในวันนี้ ไม่ได้มีการค้นคว้าข้อมูลใดๆเพิ่มเติมเลยยยย
หากเพียงแต่เนื้อหาโดย (เกือบ) ทั้งหมดที่ได้มานั้นเกิดจากการเสพย์สื่อทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีไทยที่ช่วงนี้นั่งดูทั้งวัน (คิดว่าภาษาไทยจะแข็งแรงแทนภาษาญี่ปุ่น)
และ เว็บบอร์ด http://www.pantip.com/cafe/chalermthai ที่คิดว่าเป็นห้องที่รวมคนมากที่สุดและเป็นแหล่งรวมข่าวสารเหตุการณ์ทุกประเภท
เพราะข้อมูลเกือบทุกอย่างที่รับมามักจะออกทางสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีทั้งนั้นใช่ป่ะล่ะ



ดังนั้น...
ถ้ามีข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ข้ออภัยมา ณ ที่นี้
และวานแก้ให้ด้วยนะคะ



แรงบันดาลใจในการเกิดลูกบ้าลุกขึ้นมาเขียนเรื่องการเมืองในวันนี้
เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในขณะกำลังนั่งเรียนวิชา Media and Communicational in Japan
ซึ่งไม่รู้เกิดอะไรขึ้นที่เราเกิดฟังขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่เคยตั้งใจฟังเลยสักคาบเดียว เหอะๆๆ



ขณะที่เพื่อนร่วมห้องชาวเดนมาร์ก..
(เอ่อ อาจจะเรียกว่าลุงร่วมห้องดีกว่า เพราะท่าทางแกจะมีอายุมากกว่าพ่อเราสักสิบปีได้)
กำลังพรีเซนต์อยู่หน้าชั้นเรียนโดยที่ไม่มีสื่อการนำเสนอใดๆ มีเพียงกระดาษในมือสองสามแผ่น



แค่นึกภาพบรรยากาศก็คงไม่น่าฟังแล้วใช่ป่ะล่ะ
เพราะนอกจากคนนำเสนอจะเป็นลุง (ที่ไม่หล่อ) แล้ว
ก็ยังไม่มีสีสันใดๆมาล่อตาล่อใจวัยรุ่นให้สนใจเนื้อหาที่จะได้ฟังเลยสักนิดเดียว



แต่ไม่รู้ทำไม...หูมันเกิดเงี่ยไปฟังซะงั้นแหละ



วันนี้ลุงออกมาพูดเรื่องประเด็นที่กำลังคุกรุ่นอยู่ขณะนี้
นั่นคือ เรื่องที่หนังสือพิมพ์เดนมาร์กได้ตีพิมพ์การ์ตูนที่มีภาพล้อเลียนพระศาสดามูฮัมหมัด
สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมุสลิม และเกิดการประท้วงที่สถานทูตเดนมาร์ก โดยชาวมุสลิมทั่วทุกมุมโลก
และตามที่ลุงบอก..ยังไม่มีการออกมาแสดงการขอโทษจากใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในเรื่องนี้ จากเดนมาร์กแต่อย่างใด

พอฟังเรื่องนี้แล้วมันก็คุ้นๆตงิดๆขึ้นมา
เหมือนมีเรื่องคล้ายๆกันแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง



คือเรื่องที่ในเพลงอัลบั้มใหม่ของโจอี้ บอย ได้มีบทสวดมนต์ของศาสนาอิสลาม
เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในดนตรีประกอบของเพลงซะงั้น
ตัวเราเองก็ไม่ได้ฟังเพลงนี้หรอกนะว่ามันเป็นอย่างไร
เพราะวันที่ข่าวออกมา ตามเว็บที่ให้ฟังเพลงออนไลน์ต่างๆก็ได้ลบเพลงนี้ไปซะแล้ว
เมื่อเป็นเรื่องขึ้นมา..โจอี้ บอย รวมถึงต้นสังกัดก็ได้ออกมาแถลงข่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ
รวมถึงส่งจดหมายขอโทษไปยังจุฬาราชมนตรีด้วย



ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา??



ไม่ต้องคิดเลย...
ความเหมือนกันของสองเรื่องนี้ก็คือ มันเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับชาวมุสลิมและโลกอิสลาม



แล้วทำไมการนำเสนอข่าวของสื่อต่อโลกมุสลิมทุกวันนี้
ถึงต้องเกิดควบคู่ไปกับความรุนแรงซะแทบทุกครั้ง??



ภาพการประท้วง ความรุนแรง เผาธงชาติ ทำร้ายผู้คน บลา บลา บลา
เป็นภาพของชาวมุสลิมที่คนทั่วโลกได้รับรู้ผ่านสื่อ
จนเราคิดว่าตอนนี้ความคิดของคนทั่วโลกได้ถูกหล่อหลอมไปกับภาพอันนั้น



การมองชาวมุสลิมจากในอดีตคือผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา และมีศรัทธาแรงกล้า
ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นภาพของผู้คนที่มีความศรัทธาที่มากเกินไป (excess) จนหน้ามือตามัว
และรวมไปถึงภาพของชาวมุสลิมมักจะถูกจับคู่กับผู้ก่อการร้าย (terrorist) ไปโดยปริยาย



ตอนแรกก็ไม่อยากจะเหมารวมไปแบบนั้นหรอกนะ
แต่วันนี้ในคาบเรียนเดิม มีการถามความคิดเห็นของเพื่อนชาวจีนคนหนึ่ง
เธอได้กล่าวว่า...เราไม่ควรทำอะไรสักอย่างที่ไปกระทบต่อชาวมุสลิม
เพราะอย่างที่รู้ๆกันอยู่ ผู้ก่อการร้ายนี้มันอันตรายมากๆ



(ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเธอได้รวมภาพของชาวมุสลิมกับผู้ก่อการร้ายไว้เป็นภาพเดียวกัน)



ทำไมภาพของชาวมุสลิมจึงได้ถูกจับคู่กับความรุนแรงไปได้??



อันนี้จากหลักการการมั่วของเรา
ภาพความรุนแรงของชาวมุสลิมน่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ 9/11
คงไม่ต้องท้าวความใช่ไหมว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร เพราะไม่ได้ทำรายงาน
และคิดว่าทุกคนคงมีความรู้เรื่องนี้กันอยู่พอสมควร



ก็แหม..ประเทศที่ถือว่ามีอำนาจ และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกถูกโจมตีทั้งที
ทั้งสื่อและข่าวต่างๆก็ประโคมกันจนเป็นข่าวที่ใหญ่โตที่สุดในรอบทศวรรษ
แต่อันนี้จะไม่ขอพูดถึง เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเผลอตัวไปด่า เหอๆๆ ไม่ดีๆ



กลับมาเข้าเรื่อง...
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เกิดการโยนอุจจาระให้บินลาเดนว่าเป็นตัวการในการโจมตี
แต่พอมาถึงทุกวันนี้..บินลาเดนก็หายไป และก็เหมือนว่ายังไม่มีใครรู้ว่า
ตกลงตาบินลาเดนนี่เป็นคนสั่งการให้โจมตีตึกแฝดกลางมหานครนิวยอร์กจริงหรือเปล่า



หลังจากนั้นไม่นาน..
ก็มีการโจมตีอิรัก.. โดยสร้างภาพให้ซัดดัม ฮุตเซ็นเป็นภัยคุกคาม (threat)
ต่อประชาธิปไตย เพราะเขาได้คุกคามสิทธิเสรีภาพของชาวอิรักทุกหมู่เหล่า
ด้วยเหตุผลอันนี้ ทำให้ใครก็ไม่รู้ล่ะ ทิ้งระเบิดที่ประเทศอิรัก
ส่งทหารเข้าไปยังประเทศอิรัก โดยอ้างว่าจะเข้าไปช่วยปลดปล่อยให้ชาวอิรัก
ที่เสรีภาพมากขึ้น และจับตัวซัดดัม ฮุตเซ็นมาลงโทษ
โดยที่ไม่ได้คิดเล๊ยยยย ว่าตอนที่ทิ้งระเบิดไปนั่นน่ะ
ได้คร่าชีวิตคนอิรักที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปไม่รู้ตั้งกี่คน
พรากคนในครอบครัว พรากคนที่รักของใครหลายๆคนไปไม่รู้เท่าไหร่
และที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยที่จะต้องเข้าไปยุ่ง
เข้าไปลุกล้ำอธิปไตยของประเทศอื่น มันผิดกฎหมายระหว่างประเทศรู้ไหม
แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร ผู้ร้ายก็ยังลอยนวล ทหารสหรัฐฯก็ยังเดินเล่นอยู่ในอิรักอย่างหน้าตาเฉย



พูดไปพูดมาชักจะอิน...



เอาเป็นว่า
เราคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ (image)
ของชาวมุสลิมถูกจับคู่ไปกับความโหดร้ายทารุณ และความรุนแรง
ไปจนทุกวันนี้ภาพลักษณ์นี้มันฝังลึกอยู่ในความคิดของคนหลายๆคน
อย่างที่ยกตัวอย่างเพื่อนสาวชาวจีนให้ฟังไปข้างต้น



และ...
สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจมากในคาบเรียนวันนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ
ขณะที่เราพยายามจะนำสนอความคิดว่า ภาพลักษณ์ของชาวมุสลิม
ที่ถูกจับคู่ไปกับความรุนแรงนั้นเป็นภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอยู่นั้น
รวมถึงพยายามจะบอกว่า มันไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะรุนแรงแบบนั้น



แต่อาจารย์..ขอย้ำว่าอาจารย์นะ ได้ทักท้วงเราแล้วบอกว่า
"แหม..แต่มันก็เกือบทุกคนน่ะนะ"



เอ่อ..
เราเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนหรอก
เพราะอย่างน้อยเพื่อนเราหลายๆคนที่เป็นคนมุสลิมก็เป็นคนน่ารักและมีน้ำใจ
แต่เราไม่ได้เถียงเค้าออกไปหรอกนะ ขี้เกียจต่อปากต่อคำให้มากความ



หลายคนอาจจะถามว่า แล้วทำไมภาพที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ว่าการประท้วงของชาวมุสลิมทุกครั้งมันต้องดูรุนแรงและใหญ่โตทุกครั้ง



มีคำตอบอันนึงลอยขึ้นมาในสมองเรา...



จากเหตุการณ์การเมืองที่ร้อนระอุในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรา ซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ได้รับข่าวสารข้อมูลมาจากสื่อทั้งสิ้น
ซึ่งคงได้ยินกันว่าเมื่อวานนี้มีการเดินขบวนพร้อมกับการแถลงข้อเสนอ 7 ประการ
ต่อนายกรัฐมนตรี และเสนอให้นายกฯลาออกจากตำแหน่ง โดยนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ



คนเสพย์สื่ออย่างเรา..
ตื่นเต้นมาก คิดว่าวันนี้แหละพลังนิสิตนักศึกษาจะรวมตัวกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
คิดไปถึงว่าการรวมตัวกันครั้งนี้จะต้องเป็นประวัติศาสตร์
(อย่างที่หลายๆคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นในเว็บ http://www.manager.co.th
เรียกว่า วีรชนเดือนกุมภาฯ)
และบวกกับการดูข่าวทางทีวี ก็มีการเสนอข่าวการเดินขบวนของชาวสิงห์ดำอย่างเป็นระยะๆ



แต่ตอนเย็น...
คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์
เจ้าเพื่อนคนนั้นก็บอกว่า มันก็ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก สื่อมันเว่อร์ไปเองน่ะ
ก็มีคนมาร่วมด้วยส่วนหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ก็นั่งกินข้าว นั่งเม้าท์กันตามปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



เออ...มันก็จริงแฮะ
เพราะตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ได้คุยกับเพื่อนและรุ่นน้องที่คณะหลายคน
ว่าเหตุการณ์ที่คณะตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คนจำนวน 90% ตอบว่า
"มันมีอะไรกันเหรอแก ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
สรุปว่าเราที่อยู่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้ กลับรู้เรื่องมากกว่าคนที่อยู่ที่เมืองไทยอีกแฮะ



อืม..หรือว่าเราจะเว่อร์ไปเองน้าา



เหตุการณ์นี้เราว่าเชื่อมโยงกันได้อย่างดีเลยนะ
เพราะอย่างที่บอก ภาพของชาวมุสลิมที่โกรธแค้น ประท้วงอย่างเอาเป็นเอาตาย
มีความรุนแรงอยู่ทุกหนแห่งที่เราเห็น อย่าลืมนะว่าเราเสพย์สื่อกันทั้งสิ้น



มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นแหละที่เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของตัวเอง



เพราะฉะนั้น..เราจะเอาอะไรมาตัดสินล่ะว่าที่เราเห็นจากสื่อนั้น
ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้นมาให้ข่าวมีอรรถรสมากขึ้น เพื่อผลลัพธ์อะไรสักอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อทำให้ขายข่าวได้มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์
อะไรสักอย่างขึ้นมาในสมอง ในความคิดของคนอื่นที่อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน
ให้มีความคิด ให้มีความเข้าใจแบบเดียวกัน
อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามเย็น...



พอเข้าเรื่องสงครามเย็น เดี๋ยวมันจะยาวไปกว่านี้
เพราะฉะนั้นอย่าให้เราเล่าเลยนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นบทความน่าเบื่อไปซะก่อน หุหุ



เอาล่ะ...
บทสรุปของการมาเขียนเรื่องที่เกิดจากความอัดอั้นตันใจในคาบเรียนในครั้งนี้
เราก็แค่พยายามจะบอกว่า ไม่ควรตัดสินอะไรบางอย่างจากการรับสื่อแต่เพียงฝ่ายเดียว
เราควรเปิดใจให้กว้าง และยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วย
เพราะบางทีสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันๆ จนเป็นกระแสหลักมันอาจจะไม่ใช่ความเป็นจริง
หรือเนื้อแท้ของสิ่งนั้นจริงๆก็ได้



ส่วนเรื่องประเด็นศาสนาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนนั้น
เราเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ และความไม่รู้ธรรมเนียมที่แตกต่าง
ดังนั้นปัญหาจะไม่เกิดขึ้น หากเราเปิดใจและพยายามความเข้าใจความแตกต่างนั้น



แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว ด้วยความไม่ตั้งใจ
(เราเชื่อว่า ไม่มีใครที่ต้องการจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง ด้วยความตั้งใจหรอกนะ)
สิ่งที่ดีที่สุด และจะทำให้ปัญหาจากใหญ่กลายเป็นเล็ก หรืออาจจะหมดไป
ก็คือการสำนึกผิดด้วยใจจริง และกล่าวขอโทษ หรือแสดงความ "รับผิดชอบ"
ต่อสิ่งที่ทำลงไป....



คนเราเกิดมาไม่มีใครที่เหมือนกัน 100% หรอก
และเราเชื่อว่าโลกของเราที่มันหมุนอยู่ได้เนี่ยก็เพราะมันมีความแตกต่างนั่นแหละ
ถ้าทุกอย่างเหมือนๆกันหมด ก็คงไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น และคงไม่สนุกสนานแบบนี้หรอก



จริงไหม ^^

......................................................



สุดท้ายนี้...
ขอชื่นชมและชื่นชมอาจารย์อมรา พงษ์ศาพิชญ์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่กล้าออกมาแสดงจุดยืนที่แตกต่าง แล้วก็หวังว่าคนที่ได้รับความเห็นที่แตกต่างนี้
จะคิดสักนิดที่จะรับฟัง และเข้าใจถึงความแตกต่างในความคิดที่มันมีอยู่แน่นอนบนโลกใบนี้



และเก็บเอาไปคิดซะบ้าง...

8 Comments:

Anonymous Anonymous said...

อ่านจบอย่างรวดเร็ว อืมม

โลกนี้มันมีความหลากหลายสูงมากครับ
คนเรามันย่อมแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก
มีขาวมีดำ มีแข็งมีอ่อน มีรัดมีคลาย มีสวยมีขี้เหร่ มีฉลาดมีโง่

บวกลบคูณหารแล้วได้ ศูนย์พอดี นั่นก้อคือ ทางสายกลางนั่นเอง

ถ้าทุกคนอยู่ได้ด้วยความพอเพียง ยอมรับในกันและกัน
ปัญหาย่อมเหลือน้อยแน่นอนคร้าบบบ

3:42 PM  
Anonymous Anonymous said...

เห็นด้วยเรื่องสื่อครับ
เชื่อสื่ออย่างเดียวคงไม่ได้
เพราะสื่อ ย่อมนำเสนอเรื่องที่ตนเองสนใจ ให้ความสำคัญ รวมไปถึงได้ผลประโยชน์

สื่อระดับโลก ส่วนใหญ่เป็นของตะวันตก
แน่นอน ย่อมให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของตะวันตกมากกว่า ตะวันออกกลาง (อิสลาม)
ตะวันตกไปปู้ยี่ปู้ยำอะไรเค้้าบ้าง
ย่อมไม่ (ค่อย) ลงข่าว
แต่ถ้าเป็นฝ่ายโดนกระทำ
ย่อมต้องลงกันกระหน่ำ

อย่างเรื่องความรุนแรงจากพวกที่ถูกเรียกว่า terrorist
ก่อนหน้าเหตุการ 9/11
ก็มีระเิบิดในตะวันออกกลาง และอาฟริกาเป็นระยะๆ
เพียงแต่ตะวันตกไม่เสียผลประโยชน์
ข่าวที่ออกมาจึงแผ่วเบา แทบไม่มีใครได้ยิน

ผิดกับเหตุการณ์ที่สหรัฐ
พอเจอเหตุการณ์
ก็มีข่าวกันครึกโครม
ยิ่งไทยรับข่าวจากสหรัฐค่อนข้างมาก
เลยยิ่งตื่นตัว

ต่างจากการจราจลที่ฝรั่งเศส
ที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก

นอกจากนี้
สื่อใหญ่ๆ ในโลกตะวันตก
อยู่ในมือกลุ่มทุนชาวยิว แทบทั้งนั้น
ก็ไม่แปลกใจหรอกครับ
ที่จะใส่ร้ายป้ายสีมุสลิม
ให้มีภาพลักษณ์ไปในแนวนั้น

แน่นอน ผมไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง
แต่สามารถเข้าใจได้ถึงสาเหตุของความรุนแรง
เพราะพวกเขาไม่สามารถต่อต้านในวิถีทางตามปรกติได้

เขียนไปเขียนมาชักจะยาว (เกรงจะเกินหน้าเจ้าของ blog)
ขอจบเท่านี้ละกัน ;)

ปล. เวบบางเวบก็เขียนเกินเลยไปบ้าง เพราะผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน 555

3:43 PM  
Anonymous Anonymous said...

อ่านจบรวดเดียวเหมือนกัน แต่ว่ามีหลายประเด็นเหลือเกิน เม้นต์ไม่ถูก... เอาเป็นว่าพี่คอนเฟิร์มว่าคนมุสลิมไม่จำเป็นต้องหัวรุนแรง ถ้าเราเปิดใจ เข้าใจในความเป็นมุสลิม แล้วยอมรับกัน เราจะเห็นในข้อดีมากมายของคนมุสลิมทีเดียว (เหมือนที่เค้าก็เปิดใจ เข้าใจแ้ล้วก็เคารพความเป็นพุทธของเราอ่ะนะ) คนเราบังคับคนอื่นไม่ได้ เมื่อไหร่ที่ทุกคนบังคับใจตัวเองได้ เคารพและเข้าใจในความแตกต่างของคนอื่น เ้ราก็คงอยู่กันได้อย่างมีความสุขจ้า

3:43 PM  
Anonymous Anonymous said...

เรื่องอิรักนี่ก็ดูจาก Farenheit9/11 ก็พอเข้าใจว่าบุชมันแย่จริงๆ
(แต่ก็ไม่รู้ว่าหนังสือเอามาแต่ความจริงรึเปล่า)
เรื่องสถานการณ์การเมืองไทย เราว่าดีแล้วล่ะที่ความจริงมันไม่ได้รุนแรง
ส่วนคนผิด มันก็ต้องออกมารับผิดชอบ ...แน่นอน ( ' ')b

take care
เปนห่วงนะ

3:43 PM  
Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วนะค่ะ

เห็นด้วยนะครับ ว่าอะไรต่างๆที่เราเห็นอยู่ก็ล้วนแต่ถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้นอะ เปิดใจกว้างๆ มองให้รอบๆ อย่าเชื่อะไรง่ายๆ ตามกระแส

3:43 PM  
Blogger *BoW* said...

พี่พลังอ่านข้อความที่ตัวเองพิมพ์ไว้ให้ดีๆนะคะ
อิอิ

3:43 PM  
Anonymous Anonymous said...

ในฐานะคนที่อยู่กับคนมุสลิมและในประเทศมุสลิมมาเกือบปี ขอบอกได้ว่าไม่ทุกคนหรอกค่ะที่รุนแรง ที่จอแดนนี่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ยอมรับว่าพวกเค้าเป็นเหยื่อของสื่อหากมองในภาพรวม แต่ต้องยอมรับว่ามี "บางส่วน" ที่เป็นอย่างที่เค้าว่าจิงๆ ซึ่งคนเหล่านี้ทำร้ายตัวเองและทุกคน แม้กระทั่งคนมุสลิมด้วยกันเอง ดังนั้นเราไม่ควรดึงศาสนามาเป็นตัวชี้วัด เพราะทุกศาสนาย่อมมีจุดประสงค์และความคิดหลักในการกล่อมเกลาจิตใจคนให้เป็นคนดี ซึ่งนั่นคือข้อดีของการมีศาสนาในสายตาพี่นะคะ หาใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ ปฏิหารย์ใดๆไม่
จุดนึงที่อยากมาร่วมแรประสบการณืของการอยู่ที่นี่คือ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่สามารถเข้าถึงจิตใจ ชีวิต และถึงกับกระบวนการคิดของคนจิงๆ และคนที่นับถือ เค้าก้อนับถือและศรัทธาจิงๆ เชื่อกันจิงจัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนในเห็นในชีวิตประจำวัน นิสัยและกระบวนการคิดของคนที่นี่ ชายเป็นใหญ่อย่างเห็นได้ชัด และพวกเค้ามีความเชื่อในการอยู่ใกล้พระเจ้า (ต่างจากเราที่ไปวัดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ไม่รู้)
อืม ที่พูดมาก้อไม่ได้บอกว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะพี่รู้สึกว่าสุดท้ายพวกเค้าเข้าถึงศาสนาก้อจิงแต่ก้อแบบผิวเผิน เชื่อไปหมดจิงๆถึงขั้นไม่มีเหตุผล พี่สลดอ่ะที่เห็นข่าวคนเหยียบกันตายที่เมกกะห์ ผู้โดยสารที่พี่ไปรับกลับมาจากพิธีฮัจจ์ก้อเล่าให้ฟังว่า คนที่ไปที่นั่นมีเกือบสามล้าน แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ ทะเลาะกันตาย เหยียบกันตายมากมาย ที่สำคัญคือหยาบคายมาก ทุกคนพยายามจะเข้าถึงพระเจ้าโดยไม่นึกถึงคนอื่น สรุปว่าสุดท้ายก้อทำเพื่อตัวเองจนไม่สนใจคนอื่น พี่ว่าหากเราจะเดินทางไปแสวงบุญ การเหยียบคนอื่นขึ้นไปหาพระเจ้า ด่าทอคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ไปถึงก่อน แล้วมันจะได้บุญหรอ แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเค้าไม่เข้าใจเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง ซึ่งเค้าเป็นกันอย่างนั้นจิงๆคนที่อยู่ตะวันออกกลางอ่ะ
สรุปพี่ว่า mentality ของแต่ละประเทศเป็นตัวแบ่งอ่ะ คนมุสลิมที่มาจากที่อื่นไม่เห็นเป็นอ่ะ คนไทย อินโด มาเล (เอเชีย) ไม่เห็นเป็นเลย มุสลิมจากยุโรปก้อไม่เป็น อ่ะๆๆๆ อย่าคุยกะพี่เรื่องนี้เลย อินว่ะ

3:44 PM  
Anonymous Anonymous said...

พี่โบว์..ขอบอกความจริงอย่างนึง
ไอ้ 7 ข้อแถลงอ่ะ มันมาจาก....
สมาคมนิสิตนักศึกษาผูห่วงใยประเทศไทย..นะ
ไม่ได้มาจากแค่ รัฐศาสตร์จุฬาอ่ะ
เห็นป้ะ..แค่นี้ก้อสร้างความเข้าใจให้คนทั่วไป
คิดแล้วว่า..มาจากคณะเรา....-__-"
เรื่องอื่นๆ ก้อต้องพิจารณากันต่อไปเนอะ เหอๆ

7:02 PM  

Post a Comment

<< Home