ความแตกต่าง?!?
(ทำใจก่อนอ่าน...วันนี้ยาวมากกกกก)
...............................................................
หลังจากขจีภรณ์ได้อัพเดทเรื่องไร้สาระมาได้หลายครั้งแล้ว
รู้สึกไม่ได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาสักเท่าไหร่
คือ..เริ่มรู้สึกว่าตัวเองโง่ลงมาได้สักพักหนึ่งแล้วล่ะ
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ใช้สมองในทางวิชาการเลยยยย
เป็นระยะเวลากว่าห้าเดือนแล้วนับตั้งแต่ได้มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น
ใครได้เห็น display picture เราเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาแล้วสงสัย
ก็คงเข้าใจเหตุผลกันแล้วใช่ไหม หุหุ
วันนี้อยากจะเขียนเรื่องมีสาระกันสักหน่อย
อย่าเรียกว่าเขียนเลย อยากเรียกว่ามานั่งคุยกันดีกว่า
ใครเข้ามาอ่านไดอารี่เราในวันนี้อยากแสดงความคิดเห็นอะไรก็เชิญนะคะ
เพราะเริ่มไม่มั่นใจในกระบวนการการคิดวิเคราะห์ของตัวเองเท่าไหร่แล้ว
หลังจากที่ได้ห่างเหินรายงานของคณะรัฐศาสตร์
ที่ถ้านับเวลารวมๆกันแล้ว อาจจะกินเวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตมหาวิทยาลัยของเราไปเลย
แต่มันก็ทำให้เราบริหารสมองที่มีหยักอยู่น้อยนิดของเราให้มีหยักเพิ่มขึ้นมาได้บ้างเหมือนกันนะ
และขอออกตัวไว้ก่อนว่าบทความในวันนี้ ไม่ได้มีการค้นคว้าข้อมูลใดๆเพิ่มเติมเลยยยย
หากเพียงแต่เนื้อหาโดย (เกือบ) ทั้งหมดที่ได้มานั้นเกิดจากการเสพย์สื่อทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีไทยที่ช่วงนี้นั่งดูทั้งวัน (คิดว่าภาษาไทยจะแข็งแรงแทนภาษาญี่ปุ่น)
และ เว็บบอร์ด http://www.pantip.com/cafe/chalermthai ที่คิดว่าเป็นห้องที่รวมคนมากที่สุดและเป็นแหล่งรวมข่าวสารเหตุการณ์ทุกประเภท
เพราะข้อมูลเกือบทุกอย่างที่รับมามักจะออกทางสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีทั้งนั้นใช่ป่ะล่ะ
ดังนั้น...
ถ้ามีข้อมูลผิดพลาดประการใดก็ข้ออภัยมา ณ ที่นี้
และวานแก้ให้ด้วยนะคะ
แรงบันดาลใจในการเกิดลูกบ้าลุกขึ้นมาเขียนเรื่องการเมืองในวันนี้
เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในขณะกำลังนั่งเรียนวิชา Media and Communicational in Japan
ซึ่งไม่รู้เกิดอะไรขึ้นที่เราเกิดฟังขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่เคยตั้งใจฟังเลยสักคาบเดียว เหอะๆๆ
ขณะที่เพื่อนร่วมห้องชาวเดนมาร์ก..
(เอ่อ อาจจะเรียกว่าลุงร่วมห้องดีกว่า เพราะท่าทางแกจะมีอายุมากกว่าพ่อเราสักสิบปีได้)
กำลังพรีเซนต์อยู่หน้าชั้นเรียนโดยที่ไม่มีสื่อการนำเสนอใดๆ มีเพียงกระดาษในมือสองสามแผ่น
แค่นึกภาพบรรยากาศก็คงไม่น่าฟังแล้วใช่ป่ะล่ะ
เพราะนอกจากคนนำเสนอจะเป็นลุง (ที่ไม่หล่อ) แล้ว
ก็ยังไม่มีสีสันใดๆมาล่อตาล่อใจวัยรุ่นให้สนใจเนื้อหาที่จะได้ฟังเลยสักนิดเดียว
แต่ไม่รู้ทำไม...หูมันเกิดเงี่ยไปฟังซะงั้นแหละ
วันนี้ลุงออกมาพูดเรื่องประเด็นที่กำลังคุกรุ่นอยู่ขณะนี้
นั่นคือ เรื่องที่หนังสือพิมพ์เดนมาร์กได้ตีพิมพ์การ์ตูนที่มีภาพล้อเลียนพระศาสดามูฮัมหมัด
สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมุสลิม และเกิดการประท้วงที่สถานทูตเดนมาร์ก โดยชาวมุสลิมทั่วทุกมุมโลก
และตามที่ลุงบอก..ยังไม่มีการออกมาแสดงการขอโทษจากใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในเรื่องนี้ จากเดนมาร์กแต่อย่างใด
พอฟังเรื่องนี้แล้วมันก็คุ้นๆตงิดๆขึ้นมา
เหมือนมีเรื่องคล้ายๆกันแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
คือเรื่องที่ในเพลงอัลบั้มใหม่ของโจอี้ บอย ได้มีบทสวดมนต์ของศาสนาอิสลาม
เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในดนตรีประกอบของเพลงซะงั้น
ตัวเราเองก็ไม่ได้ฟังเพลงนี้หรอกนะว่ามันเป็นอย่างไร
เพราะวันที่ข่าวออกมา ตามเว็บที่ให้ฟังเพลงออนไลน์ต่างๆก็ได้ลบเพลงนี้ไปซะแล้ว
เมื่อเป็นเรื่องขึ้นมา..โจอี้ บอย รวมถึงต้นสังกัดก็ได้ออกมาแถลงข่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ
รวมถึงส่งจดหมายขอโทษไปยังจุฬาราชมนตรีด้วย
ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา??
ไม่ต้องคิดเลย...
ความเหมือนกันของสองเรื่องนี้ก็คือ มันเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับชาวมุสลิมและโลกอิสลาม
แล้วทำไมการนำเสนอข่าวของสื่อต่อโลกมุสลิมทุกวันนี้
ถึงต้องเกิดควบคู่ไปกับความรุนแรงซะแทบทุกครั้ง??
ภาพการประท้วง ความรุนแรง เผาธงชาติ ทำร้ายผู้คน บลา บลา บลา
เป็นภาพของชาวมุสลิมที่คนทั่วโลกได้รับรู้ผ่านสื่อ
จนเราคิดว่าตอนนี้ความคิดของคนทั่วโลกได้ถูกหล่อหลอมไปกับภาพอันนั้น
การมองชาวมุสลิมจากในอดีตคือผู้ที่เคร่งครัดในศาสนา และมีศรัทธาแรงกล้า
ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นภาพของผู้คนที่มีความศรัทธาที่มากเกินไป (excess) จนหน้ามือตามัว
และรวมไปถึงภาพของชาวมุสลิมมักจะถูกจับคู่กับผู้ก่อการร้าย (terrorist) ไปโดยปริยาย
ตอนแรกก็ไม่อยากจะเหมารวมไปแบบนั้นหรอกนะ
แต่วันนี้ในคาบเรียนเดิม มีการถามความคิดเห็นของเพื่อนชาวจีนคนหนึ่ง
เธอได้กล่าวว่า...เราไม่ควรทำอะไรสักอย่างที่ไปกระทบต่อชาวมุสลิม
เพราะอย่างที่รู้ๆกันอยู่ ผู้ก่อการร้ายนี้มันอันตรายมากๆ
(ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเธอได้รวมภาพของชาวมุสลิมกับผู้ก่อการร้ายไว้เป็นภาพเดียวกัน)
ทำไมภาพของชาวมุสลิมจึงได้ถูกจับคู่กับความรุนแรงไปได้??
อันนี้จากหลักการการมั่วของเรา
ภาพความรุนแรงของชาวมุสลิมน่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ 9/11
คงไม่ต้องท้าวความใช่ไหมว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร เพราะไม่ได้ทำรายงาน
และคิดว่าทุกคนคงมีความรู้เรื่องนี้กันอยู่พอสมควร
ก็แหม..ประเทศที่ถือว่ามีอำนาจ และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกถูกโจมตีทั้งที
ทั้งสื่อและข่าวต่างๆก็ประโคมกันจนเป็นข่าวที่ใหญ่โตที่สุดในรอบทศวรรษ
แต่อันนี้จะไม่ขอพูดถึง เพราะเดี๋ยวจะเป็นการเผลอตัวไปด่า เหอๆๆ ไม่ดีๆ
กลับมาเข้าเรื่อง...
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เกิดการโยนอุจจาระให้บินลาเดนว่าเป็นตัวการในการโจมตี
แต่พอมาถึงทุกวันนี้..บินลาเดนก็หายไป และก็เหมือนว่ายังไม่มีใครรู้ว่า
ตกลงตาบินลาเดนนี่เป็นคนสั่งการให้โจมตีตึกแฝดกลางมหานครนิวยอร์กจริงหรือเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน..
ก็มีการโจมตีอิรัก.. โดยสร้างภาพให้ซัดดัม ฮุตเซ็นเป็นภัยคุกคาม (threat)
ต่อประชาธิปไตย เพราะเขาได้คุกคามสิทธิเสรีภาพของชาวอิรักทุกหมู่เหล่า
ด้วยเหตุผลอันนี้ ทำให้ใครก็ไม่รู้ล่ะ ทิ้งระเบิดที่ประเทศอิรัก
ส่งทหารเข้าไปยังประเทศอิรัก โดยอ้างว่าจะเข้าไปช่วยปลดปล่อยให้ชาวอิรัก
ที่เสรีภาพมากขึ้น และจับตัวซัดดัม ฮุตเซ็นมาลงโทษ
โดยที่ไม่ได้คิดเล๊ยยยย ว่าตอนที่ทิ้งระเบิดไปนั่นน่ะ
ได้คร่าชีวิตคนอิรักที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปไม่รู้ตั้งกี่คน
พรากคนในครอบครัว พรากคนที่รักของใครหลายๆคนไปไม่รู้เท่าไหร่
และที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยที่จะต้องเข้าไปยุ่ง
เข้าไปลุกล้ำอธิปไตยของประเทศอื่น มันผิดกฎหมายระหว่างประเทศรู้ไหม
แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร ผู้ร้ายก็ยังลอยนวล ทหารสหรัฐฯก็ยังเดินเล่นอยู่ในอิรักอย่างหน้าตาเฉย
พูดไปพูดมาชักจะอิน...
เอาเป็นว่า
เราคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ (image)
ของชาวมุสลิมถูกจับคู่ไปกับความโหดร้ายทารุณ และความรุนแรง
ไปจนทุกวันนี้ภาพลักษณ์นี้มันฝังลึกอยู่ในความคิดของคนหลายๆคน
อย่างที่ยกตัวอย่างเพื่อนสาวชาวจีนให้ฟังไปข้างต้น
และ...
สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจมากในคาบเรียนวันนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ
ขณะที่เราพยายามจะนำสนอความคิดว่า ภาพลักษณ์ของชาวมุสลิม
ที่ถูกจับคู่ไปกับความรุนแรงนั้นเป็นภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอยู่นั้น
รวมถึงพยายามจะบอกว่า มันไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะรุนแรงแบบนั้น
แต่อาจารย์..ขอย้ำว่าอาจารย์นะ ได้ทักท้วงเราแล้วบอกว่า
"แหม..แต่มันก็เกือบทุกคนน่ะนะ"
เอ่อ..
เราเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนหรอก
เพราะอย่างน้อยเพื่อนเราหลายๆคนที่เป็นคนมุสลิมก็เป็นคนน่ารักและมีน้ำใจ
แต่เราไม่ได้เถียงเค้าออกไปหรอกนะ ขี้เกียจต่อปากต่อคำให้มากความ
หลายคนอาจจะถามว่า แล้วทำไมภาพที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ว่าการประท้วงของชาวมุสลิมทุกครั้งมันต้องดูรุนแรงและใหญ่โตทุกครั้ง
มีคำตอบอันนึงลอยขึ้นมาในสมองเรา...
จากเหตุการณ์การเมืองที่ร้อนระอุในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรา ซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็ได้รับข่าวสารข้อมูลมาจากสื่อทั้งสิ้น
ซึ่งคงได้ยินกันว่าเมื่อวานนี้มีการเดินขบวนพร้อมกับการแถลงข้อเสนอ 7 ประการ
ต่อนายกรัฐมนตรี และเสนอให้นายกฯลาออกจากตำแหน่ง โดยนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
คนเสพย์สื่ออย่างเรา..
ตื่นเต้นมาก คิดว่าวันนี้แหละพลังนิสิตนักศึกษาจะรวมตัวกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
คิดไปถึงว่าการรวมตัวกันครั้งนี้จะต้องเป็นประวัติศาสตร์
(อย่างที่หลายๆคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นในเว็บ http://www.manager.co.th
เรียกว่า วีรชนเดือนกุมภาฯ)
และบวกกับการดูข่าวทางทีวี ก็มีการเสนอข่าวการเดินขบวนของชาวสิงห์ดำอย่างเป็นระยะๆ
แต่ตอนเย็น...
คุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์
เจ้าเพื่อนคนนั้นก็บอกว่า มันก็ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก สื่อมันเว่อร์ไปเองน่ะ
ก็มีคนมาร่วมด้วยส่วนหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ก็นั่งกินข้าว นั่งเม้าท์กันตามปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เออ...มันก็จริงแฮะ
เพราะตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ได้คุยกับเพื่อนและรุ่นน้องที่คณะหลายคน
ว่าเหตุการณ์ที่คณะตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คนจำนวน 90% ตอบว่า
"มันมีอะไรกันเหรอแก ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
สรุปว่าเราที่อยู่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้ กลับรู้เรื่องมากกว่าคนที่อยู่ที่เมืองไทยอีกแฮะ
อืม..หรือว่าเราจะเว่อร์ไปเองน้าา
เหตุการณ์นี้เราว่าเชื่อมโยงกันได้อย่างดีเลยนะ
เพราะอย่างที่บอก ภาพของชาวมุสลิมที่โกรธแค้น ประท้วงอย่างเอาเป็นเอาตาย
มีความรุนแรงอยู่ทุกหนแห่งที่เราเห็น อย่าลืมนะว่าเราเสพย์สื่อกันทั้งสิ้น
มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นแหละที่เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของตัวเอง
เพราะฉะนั้น..เราจะเอาอะไรมาตัดสินล่ะว่าที่เราเห็นจากสื่อนั้น
ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้นมาให้ข่าวมีอรรถรสมากขึ้น เพื่อผลลัพธ์อะไรสักอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อทำให้ขายข่าวได้มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์
อะไรสักอย่างขึ้นมาในสมอง ในความคิดของคนอื่นที่อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน
ให้มีความคิด ให้มีความเข้าใจแบบเดียวกัน
อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยสงครามเย็น...
พอเข้าเรื่องสงครามเย็น เดี๋ยวมันจะยาวไปกว่านี้
เพราะฉะนั้นอย่าให้เราเล่าเลยนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นบทความน่าเบื่อไปซะก่อน หุหุ
เอาล่ะ...
บทสรุปของการมาเขียนเรื่องที่เกิดจากความอัดอั้นตันใจในคาบเรียนในครั้งนี้
เราก็แค่พยายามจะบอกว่า ไม่ควรตัดสินอะไรบางอย่างจากการรับสื่อแต่เพียงฝ่ายเดียว
เราควรเปิดใจให้กว้าง และยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างด้วย
เพราะบางทีสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันๆ จนเป็นกระแสหลักมันอาจจะไม่ใช่ความเป็นจริง
หรือเนื้อแท้ของสิ่งนั้นจริงๆก็ได้
ส่วนเรื่องประเด็นศาสนาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนนั้น
เราเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจ และความไม่รู้ธรรมเนียมที่แตกต่าง
ดังนั้นปัญหาจะไม่เกิดขึ้น หากเราเปิดใจและพยายามความเข้าใจความแตกต่างนั้น
แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว ด้วยความไม่ตั้งใจ
(เราเชื่อว่า ไม่มีใครที่ต้องการจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง ด้วยความตั้งใจหรอกนะ)
สิ่งที่ดีที่สุด และจะทำให้ปัญหาจากใหญ่กลายเป็นเล็ก หรืออาจจะหมดไป
ก็คือการสำนึกผิดด้วยใจจริง และกล่าวขอโทษ หรือแสดงความ "รับผิดชอบ"
ต่อสิ่งที่ทำลงไป....
คนเราเกิดมาไม่มีใครที่เหมือนกัน 100% หรอก
และเราเชื่อว่าโลกของเราที่มันหมุนอยู่ได้เนี่ยก็เพราะมันมีความแตกต่างนั่นแหละ
ถ้าทุกอย่างเหมือนๆกันหมด ก็คงไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น และคงไม่สนุกสนานแบบนี้หรอก
จริงไหม ^^
......................................................
สุดท้ายนี้...
ขอชื่นชมและชื่นชมอาจารย์อมรา พงษ์ศาพิชญ์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่กล้าออกมาแสดงจุดยืนที่แตกต่าง แล้วก็หวังว่าคนที่ได้รับความเห็นที่แตกต่างนี้
จะคิดสักนิดที่จะรับฟัง และเข้าใจถึงความแตกต่างในความคิดที่มันมีอยู่แน่นอนบนโลกใบนี้
และเก็บเอาไปคิดซะบ้าง...
8 Comments:
อ่านจบอย่างรวดเร็ว อืมม
โลกนี้มันมีความหลากหลายสูงมากครับ
คนเรามันย่อมแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก
มีขาวมีดำ มีแข็งมีอ่อน มีรัดมีคลาย มีสวยมีขี้เหร่ มีฉลาดมีโง่
บวกลบคูณหารแล้วได้ ศูนย์พอดี นั่นก้อคือ ทางสายกลางนั่นเอง
ถ้าทุกคนอยู่ได้ด้วยความพอเพียง ยอมรับในกันและกัน
ปัญหาย่อมเหลือน้อยแน่นอนคร้าบบบ
เห็นด้วยเรื่องสื่อครับ
เชื่อสื่ออย่างเดียวคงไม่ได้
เพราะสื่อ ย่อมนำเสนอเรื่องที่ตนเองสนใจ ให้ความสำคัญ รวมไปถึงได้ผลประโยชน์
สื่อระดับโลก ส่วนใหญ่เป็นของตะวันตก
แน่นอน ย่อมให้ความสำคัญกับความเดือดร้อนของตะวันตกมากกว่า ตะวันออกกลาง (อิสลาม)
ตะวันตกไปปู้ยี่ปู้ยำอะไรเค้้าบ้าง
ย่อมไม่ (ค่อย) ลงข่าว
แต่ถ้าเป็นฝ่ายโดนกระทำ
ย่อมต้องลงกันกระหน่ำ
อย่างเรื่องความรุนแรงจากพวกที่ถูกเรียกว่า terrorist
ก่อนหน้าเหตุการ 9/11
ก็มีระเิบิดในตะวันออกกลาง และอาฟริกาเป็นระยะๆ
เพียงแต่ตะวันตกไม่เสียผลประโยชน์
ข่าวที่ออกมาจึงแผ่วเบา แทบไม่มีใครได้ยิน
ผิดกับเหตุการณ์ที่สหรัฐ
พอเจอเหตุการณ์
ก็มีข่าวกันครึกโครม
ยิ่งไทยรับข่าวจากสหรัฐค่อนข้างมาก
เลยยิ่งตื่นตัว
ต่างจากการจราจลที่ฝรั่งเศส
ที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก
นอกจากนี้
สื่อใหญ่ๆ ในโลกตะวันตก
อยู่ในมือกลุ่มทุนชาวยิว แทบทั้งนั้น
ก็ไม่แปลกใจหรอกครับ
ที่จะใส่ร้ายป้ายสีมุสลิม
ให้มีภาพลักษณ์ไปในแนวนั้น
แน่นอน ผมไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง
แต่สามารถเข้าใจได้ถึงสาเหตุของความรุนแรง
เพราะพวกเขาไม่สามารถต่อต้านในวิถีทางตามปรกติได้
เขียนไปเขียนมาชักจะยาว (เกรงจะเกินหน้าเจ้าของ blog)
ขอจบเท่านี้ละกัน ;)
ปล. เวบบางเวบก็เขียนเกินเลยไปบ้าง เพราะผลประโยชน์ของตนเองเช่นกัน 555
อ่านจบรวดเดียวเหมือนกัน แต่ว่ามีหลายประเด็นเหลือเกิน เม้นต์ไม่ถูก... เอาเป็นว่าพี่คอนเฟิร์มว่าคนมุสลิมไม่จำเป็นต้องหัวรุนแรง ถ้าเราเปิดใจ เข้าใจในความเป็นมุสลิม แล้วยอมรับกัน เราจะเห็นในข้อดีมากมายของคนมุสลิมทีเดียว (เหมือนที่เค้าก็เปิดใจ เข้าใจแ้ล้วก็เคารพความเป็นพุทธของเราอ่ะนะ) คนเราบังคับคนอื่นไม่ได้ เมื่อไหร่ที่ทุกคนบังคับใจตัวเองได้ เคารพและเข้าใจในความแตกต่างของคนอื่น เ้ราก็คงอยู่กันได้อย่างมีความสุขจ้า
เรื่องอิรักนี่ก็ดูจาก Farenheit9/11 ก็พอเข้าใจว่าบุชมันแย่จริงๆ
(แต่ก็ไม่รู้ว่าหนังสือเอามาแต่ความจริงรึเปล่า)
เรื่องสถานการณ์การเมืองไทย เราว่าดีแล้วล่ะที่ความจริงมันไม่ได้รุนแรง
ส่วนคนผิด มันก็ต้องออกมารับผิดชอบ ...แน่นอน ( ' ')b
take care
เปนห่วงนะ
อ่านแล้วนะค่ะ
เห็นด้วยนะครับ ว่าอะไรต่างๆที่เราเห็นอยู่ก็ล้วนแต่ถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้นอะ เปิดใจกว้างๆ มองให้รอบๆ อย่าเชื่อะไรง่ายๆ ตามกระแส
พี่พลังอ่านข้อความที่ตัวเองพิมพ์ไว้ให้ดีๆนะคะ
อิอิ
ในฐานะคนที่อยู่กับคนมุสลิมและในประเทศมุสลิมมาเกือบปี ขอบอกได้ว่าไม่ทุกคนหรอกค่ะที่รุนแรง ที่จอแดนนี่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ยอมรับว่าพวกเค้าเป็นเหยื่อของสื่อหากมองในภาพรวม แต่ต้องยอมรับว่ามี "บางส่วน" ที่เป็นอย่างที่เค้าว่าจิงๆ ซึ่งคนเหล่านี้ทำร้ายตัวเองและทุกคน แม้กระทั่งคนมุสลิมด้วยกันเอง ดังนั้นเราไม่ควรดึงศาสนามาเป็นตัวชี้วัด เพราะทุกศาสนาย่อมมีจุดประสงค์และความคิดหลักในการกล่อมเกลาจิตใจคนให้เป็นคนดี ซึ่งนั่นคือข้อดีของการมีศาสนาในสายตาพี่นะคะ หาใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ ปฏิหารย์ใดๆไม่
จุดนึงที่อยากมาร่วมแรประสบการณืของการอยู่ที่นี่คือ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่สามารถเข้าถึงจิตใจ ชีวิต และถึงกับกระบวนการคิดของคนจิงๆ และคนที่นับถือ เค้าก้อนับถือและศรัทธาจิงๆ เชื่อกันจิงจัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนในเห็นในชีวิตประจำวัน นิสัยและกระบวนการคิดของคนที่นี่ ชายเป็นใหญ่อย่างเห็นได้ชัด และพวกเค้ามีความเชื่อในการอยู่ใกล้พระเจ้า (ต่างจากเราที่ไปวัดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ไม่รู้)
อืม ที่พูดมาก้อไม่ได้บอกว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะพี่รู้สึกว่าสุดท้ายพวกเค้าเข้าถึงศาสนาก้อจิงแต่ก้อแบบผิวเผิน เชื่อไปหมดจิงๆถึงขั้นไม่มีเหตุผล พี่สลดอ่ะที่เห็นข่าวคนเหยียบกันตายที่เมกกะห์ ผู้โดยสารที่พี่ไปรับกลับมาจากพิธีฮัจจ์ก้อเล่าให้ฟังว่า คนที่ไปที่นั่นมีเกือบสามล้าน แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ ทะเลาะกันตาย เหยียบกันตายมากมาย ที่สำคัญคือหยาบคายมาก ทุกคนพยายามจะเข้าถึงพระเจ้าโดยไม่นึกถึงคนอื่น สรุปว่าสุดท้ายก้อทำเพื่อตัวเองจนไม่สนใจคนอื่น พี่ว่าหากเราจะเดินทางไปแสวงบุญ การเหยียบคนอื่นขึ้นไปหาพระเจ้า ด่าทอคนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ไปถึงก่อน แล้วมันจะได้บุญหรอ แต่นั่นคือสิ่งที่พวกเค้าไม่เข้าใจเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง ซึ่งเค้าเป็นกันอย่างนั้นจิงๆคนที่อยู่ตะวันออกกลางอ่ะ
สรุปพี่ว่า mentality ของแต่ละประเทศเป็นตัวแบ่งอ่ะ คนมุสลิมที่มาจากที่อื่นไม่เห็นเป็นอ่ะ คนไทย อินโด มาเล (เอเชีย) ไม่เห็นเป็นเลย มุสลิมจากยุโรปก้อไม่เป็น อ่ะๆๆๆ อย่าคุยกะพี่เรื่องนี้เลย อินว่ะ
พี่โบว์..ขอบอกความจริงอย่างนึง
ไอ้ 7 ข้อแถลงอ่ะ มันมาจาก....
สมาคมนิสิตนักศึกษาผูห่วงใยประเทศไทย..นะ
ไม่ได้มาจากแค่ รัฐศาสตร์จุฬาอ่ะ
เห็นป้ะ..แค่นี้ก้อสร้างความเข้าใจให้คนทั่วไป
คิดแล้วว่า..มาจากคณะเรา....-__-"
เรื่องอื่นๆ ก้อต้องพิจารณากันต่อไปเนอะ เหอๆ
Post a Comment
<< Home