ตามรอย Memoir of a Geisha!
giคิดว่าหลายๆคนคงได้ดูหนังเรื่องนี้กันแล้วใช่ป่าว
"Memoir of a Geisha"
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เราอยากดูมากมาก่อน
เพราะตอนปีสองไปซื้อหนังสือเรื่องนี้มาอ่าน
แล้วชอบมากกกก.. สองเล่มหนาๆ อ่านได้ไม่วางเลย
สนุกจริงๆ (ถึงแม้ว่าคนญี่ปุ่นจะบอกว่าเนื้อเรื่องมันบิดเบือนจากความเป็นจริง)
แต่ถ้านับในเรื่องของความบันเทิง และความสนุก น่าติดตามของเนื้อหาแล้ว
ขอยกให้เป็นหนึ่งสือหนึ่งเล่มในดวงใจ
หลังจากได้อ่านจบ เราก็รู้สึกว่าอยากจะรู้เรื่องของญี่ปุ่นมากขึ้น
ไม่ใช่แค่ที่เล่มเกม หรืออ่านการ์ตูน ดูทีวีแล้วซึมซับไปวันๆ
บอกได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเหตุผลเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจมา
ใช้ชีวิตปีนึงอยู่ที่นี่ก็ได้ (แต่ไม่ใช่เหตุผลเดียวแน่นอนอ่ะ เหอๆ)
ที่พูดมาซะยืดยาวไม่ใช่อะไร..
ไม่ได้เกี่ยวกะหนังสือเลยด้วย ฮ่าๆๆ
แต่มันเกี่ยวกับหนังมากกว่าอ่ะ
หนังเรื่องนี้เข้าที่ญี่ปุ่นก่อนเมืองไทยอีก
แต่ก็ไม่ได้ดู เพราะติดนู่นติดนี่ พอกลับไปเมืองไทยก็ไม่ได้ดูอีก
เลยแวะตลาดนัดแถวบ้านสอบดีวีดีราคา 80 บาทมานั่งดูที่นี่ซะยังงั้น หุหุ
อ่อ... เรื่องที่จะมาเล่าวันนี้ขอเริ่มจากความโชคดีก่อน
เนื่องจากอาทิตย์ที่แล้วไปทำงานพิเศษมาที่เกียวโต
ประกอบกับเพื่อนพี่ใหม่คือพี่แจ๋ซึ่งมาไกลจากอเมริกา
ได้มาเยี่ยมเยียน (พี่ใหม่) พอดี เย็นวันนั้นก็เลยพาพี่แจ๋ไปเดินเล่นที่ย่าน Gion
ซึ่งเป็นย่านที่มีกิจการเกอิชาอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
(ถึงแม้ตอนนี้จะน้อยลงไปมากแล้ว)ท่ามกลางฝนที่ตกพรำๆ
ทันใดนั้น...
โอ้ มาเดินที่นี่ตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยเจอไมโกะซังตัวจริง เป็นๆเลยสักที
เคยเห็นแต่ของปลอม (ที่เราเคยไปปลอมอยู่ครั้งนึง)
และโปสเตอร์ที่แปะอยู่ที่ผนังเท่านั้น
แต่วันนี้... เจอของจริงเจ้าค่ะ
แล้วมาทีเดียวสาม...
สามสาวเลยสวมวิญญาณปาปารัสซี่ ควักกล้องออกมาคนละอัน
แล้วก็ถ่ายๆๆ กันใหญ่เลย
แต่เธอเดินเร็วมากอ่ะ ทำให้ได้ภาพประมาณนี้มา แหะๆ
..........................................
วันต่อมา ก็โดดเรียนอีกหนึ่งวัน..
ตามพี่ๆสองคนไปเที่ยว แหะๆๆ
พี่แจ๋และพี่ใหม่
ก่อนที่จะไปตามรอย Memoir of a Geisha กัน
ขอพาไปเที่ยววัดสำคัญวัดหนึ่งในเมือง Uji ที่อยู่ในจังหวัดเกียวโตกันก่อนนะ
เมือง Uji นี่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องชาเขียวมากเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ขนาดวันก่อนดูรายการทีวี เป็นรายการมายากลอ่ะ
ของนักมายากลคนญี่ปุ่นชื่อ Cyril Takayama คิดว่าหลายๆคนคงรู้จัก
เพราะว่าตาคนนี้เล่นมายากลได้เวอร์มากจริงๆ
ถ้าใครยังไม่ได้ดู แนะนำให้ไป search หาใน youtube.com ดูเอาละกัน
(วันก่อนตกใจมาก แกเสกจระเข้เป็นๆออกมาแทนโลโก้เสื้อลาคอส เหวอออออ)
บังเอิญตอนที่พูดถึงนี่มีคนเอาลง youtube แล้วอย่างรวดเร็ว เลยเอามาฝากกันอ่ะ
เออ..เข้าเรื่องชาต่อนะ
คือว่าตานักมายากลเนี่ยเค้าไปเดินชินจูกุที่โตเกียวอ่ะ
แล้วเปลี่ยนน้ำแข็งใสจากราดน้ำเชื่อมสตอร์วเบอร์รี่
กลายเป็นรสชาเขียวอุจิได้..กลางอากาศ!!!!
ที่เล่ามาทั้งหมดนี่คือ จะบอกว่าชามันดังอ่ะนะ เหอๆๆๆ
อ่ะ..นอกจากนี้เมืองอุจิยังปรากฎอยู่ในนวนิยายที่ดังมากในสมัยโบราณของญี่ปุ่น
เรื่อง Genji Monokatari อีกด้วย
(เรื่องเกนจินี่ อาจเทียบได้กะขุนช้างขุนแผนไรงี้ได้ไหมนะ แบบว่าเป็นนวนิยายสมัยก่อนอ่ะ)
แม่น้ำสายสำคัญในเมืองอุจิ จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร
แต่กระแสน้ำเชี่ยวกราดมาก ในประวัติศาสตร์บอกว่ามีการสู้รบกัน "ใน" แม่น้ำนี้ด้วย
อ่อ..ที่พามาเที่ยวเมืองนี้เพราะว่าจะพามาวัดหลังเหรียญสิบกัน!
เอ่อ.. วัดนี้ไม่ได้สร้างอยู่หลังกองเหรียญสิบแต่อย่างไร
แต่มีภาพปรากฎอยู่ในหลังเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่นนั่นเอง
เหรียญสิบเยน
วัดนี้ชื่อว่า วัด Byodo-in (平等院)
วัดเบียวโดอินนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 998 ในสมัยเฮอัน
สิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดของวัดนี้คือ Phoenix Hall
ต่อมาวัดนี้ได้ถูกบูรณะโดย Fujiwara no Yorimichi ในปี 1052
นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม ปี 1994 วัดนี้ยังได้รับการยกย่อง
จากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองประวัติศาสตร์เกียวโต
Phoenix Hall อยากได้กล้องที่ถ่ายพาโนราม่าได้เหลือเกินนน
เอาล่ะ..ได้เวลาเดินทางตามรอย Memoir of a Geisha กันแล้ววว
หลังจากนั้นเราก็เดินทางออกจากเมืองอุจิ
ขึ้นรถไฟต่อไปลงที่สถานีชื่อ Fushimi Inari
ที่บอกว่าตามรอยหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่า..
ตอนนั้นที่ซื้อดีวีดีแปดสิบบาทมาดูน่ะ
ก็เห็นวัดๆนึงที่หนูน้อยจิโยะวิ่งไปขอพร
แล้วมันสวยมากอ่ะ.. แล้วก็รู้ว่ามันอยู่ในเกียวโตเนี่ยแหละ
เลยอยากมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หุหุ
จำฉากนี้กันได้ไหม?
ศาลเจ้าที่ว่าชื่อว่า Fushimi Inari Taisha (伏見稲荷大社)
พอเดินทางมาถึงศาลเจ้า ก็เจอรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกเต็มไปหมด
ขนาดแผ่นป้ายที่ให้เขียนขอพรก็ยังเป็นรูปสุนัขจิ้งจอก
ทำไมน่ะเหรอ??
ก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกเปรียบเสมือนสัตว์ศักดิ์สิทธิของที่นี่
ศาลเจ้านี้เชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสารมาจากเทพเจ้า
หางที่สุนัขจิ้งจอกที่ฟูๆนั้นเปรียบเสมือนการออกรวงอุดมสมบูรณ์ของต้นข้าว
สิ่งที่คาบไว้มีสองอย่างคือหินศักดิ์สิทธิ ซึ่งเปรียบเสมือนการปรากฎกายของเทพเจ้า
และกุญแจก็คือกุญแจที่จะนำไปสู่ยุ้งข้าวที่เต็มไปด้วยผลผลิตนั่นเอง
และสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของวัดนี้ก็คือ..
ประตูโทริอิสีแดงที่ตั้งตะหง่านกว่า 10,000 ประตูนั่นเอง
ประตูกว่าหนึ่งหมื่นประตูนี้ตั้งเรียงกันไปบนภูเขา
เป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร
รู้สึกว่าปลายสุดของเส้นทางที่เห็นนี้จะไปเชื่อมกับวัดคิโยมิสึในตัวเมืองเกียวโตนั่นเอง
(หนูน้อยจิโยะวิ่งไกลมากนะ.. ตั้งแต่กิออนมาถึงศาลเจ้านี้ก็หลายกิโลอยู่ อึดจริงๆ หุหุ)
...................................................
อ่า..ตอนนี้ก็หมดเรื่องที่ดองเอาไว้แล้ว
เดี๋ยวต่อไปยังไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรมาเล่า
ถ้าไม่มีอะไรมาแทรก วันอาทิตย์นี้จะไปปาร์ตี้กับสมาคมคนญี่ปุ่นที่รักประเทศไทย
ของมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ทะเลสาบบิวะ จังหวัดชิกะนะ แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง
วันนี้ไปก่อนล่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป..
6 Comments:
อิอิ สวยเน่อ บ้านเก่ากระพ้มเอง คิดถึงเหมือนกันนะนี่ ว่าง ๆ กลับไปเดินเล่นซักหน่อยดีก่า
น้องโบว์ไม่วิ่งแบบน้องน่ารักนั่นด้วยอ่ะ อิอิ
ว่าแต่งานบาร์บีคิว ไม่ใช่ของมหาลัยพี่นา
แม่น้ำชื่อแม่น้ำอุจินั่นแหล่ะ
ว่าแต่พ่อ Cyril นี่มันเล่นกลได้เหวอมากอ่ะ วันก่อนนั่งดูทีวีตาค้างเลย... เสกไปด้ายยย จระเข้ตัวเป็นๆ จะว่า illusion ก็ไม่น่าจะ illusion ได้ขนาดนั้นอ่ะนะ ซูฮกๆ
หมื่นประตู บ้าไปแล้ว
อาเจนยัง 6-0 เอง (โอ้ว ทำไปได้)
take care
เปนห่วงนะ -_-
ยังไม่เคยไปเลย
แต่ชอบน้องคนนี้จัง (ลืมชื่อไปและ)
เจ้านักมายากลก็เดือดจริงๆ
มีหน้าใหม่ๆ โผล่มาตลอดเลยแฮะ
ohh tiew gun nook narnn...
got u a magnet from russia douy la nongnu++...huhu
Post a Comment
<< Home